วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เผยราคา iPad 4 และ iPad Mini ในประเทศไทย ☻

ขออัปเดตเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆกันบ้าง เพื่อเพื่อนที่ติดตามบล็อกสนใจกันดูนะคะ  ☺

เผยราคา iPad 4 และ iPad Mini ในประเทศไทย พิมพ์
นอกจากราคา iPhone 5 แล้วในหน้าเว็บไซต์ http://store.apple.com/th ยังได้มีการเปิดเผยราคาจำหน่าย iPad 4 เริ่มต้นที่ 16,500 บาท และ iPad Mini เริ่มต้นที่ 11,200 บาท ใช้เวลาในการจัดส่งสินค้าราว 2 สัปดาห์ นั่นหมายถึงว่าเร็วๆนี้อาจได้เห็นสินค้าทั้ง 2 รุ่นวางจำหน่ายผ่านตัวแทนในประเทศไทย


โดยรายละเอียดราคาสำหรับ iPad 4 หรือ iPad with Retina display แบ่งออกเป็น 2 รุ่นหลักคือ Wi-Fi 16 GB 16,500 บาท 32 GB 19,500 บาท และ 64 GB 22,500 บาท ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular อยู่ที่ 16 GB 20,500 บาท 32 GB 23,500 บาท และ 64 GB 26,500 บาท
     
       ส่วน iPad Mini ก็แบ่งออกเป็น 2 รุ่นหลักด้วยกันคือ Wi-Fi 16 GB 11,200 บาท 32 GB 14,200 บาท และ 64 GB 17,200 บาท ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular อยู่ที่ 16 GB 15,200 บาท 32 GB 18,200 บาท และ 64 GB 21,200 บาท
     
       อย่างไรก็ดีเครื่อง iPad ทั้ง 2 รุ่นในเวอร์ชัน Wi-Fi + Cellular จะยังไม่มีกำหนดการจัดส่ง ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการนั่นเอง



ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจ ก็ลองไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ เว็บของแอปเปิ้ลกันเลยนะค่ะ♥

ระบบปฏิบัติการ Windows 8 มิติใหม่ของการใช้คอมพ์ ☺

ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่ผ่านพ้นช่วงเวลาของการใช้ระบบปฏิบัติการของวินโดวส์มาหลายต่อหลายตัว จะเรียกว่าตั้งแต่แรกเริ่มก็ได้ เชื่อว่าหลายคนอาจจะเห็นด้วยว่า ที่ผ่านมารูปร่างหน้าตาของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของไมโครซอฟท์นั้น ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงชนิด "ใหญ่โต" อะไรมากมาย ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มเติมฟังก์ชั่นการใช้งานให้ง่ายขึ้น หน้าตาจะเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย ประสิทธิภาพในการใช้งานก็แล้วแต่ว่า เป็นชีวิตขาขึ้นหรือขาลงของวินโดวส์นั้นๆ



แต่จากการได้สัมผัสกับระบบปฏิบัติการตัวใหม่ล่าสุดของไมโครซอฟท์กับ "วินโดวส์ 8" ต้องใช้คำพูดของผู้บริหารไมโครซอฟท์มาอ้างอิงที่ว่า มันเป็น "มิติใหม่" ของการใช้งานคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว

วินโดวส์ 8 เปิดตัวอย่างเป็นทางการทั่วโลกไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ในระดับของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีการเปิดตัวกันที่ประเทศสิงคโปร์ โดยมีคุณเทรซี เฟลโลว์ส ประธานไมโครซอฟท์ ประจำเอเชีย-แปซิฟิก และคุณอัลวาโร เซลิส รองประธานฝ่ายขายการตลาด ของไมโครซอฟท์ เอเชีย-แปซิฟิก มาร่วมเปิดมิติใหม่ของวินโดวส์ครั้งนี้
คุณเฟลโลว์สกล่าวว่า ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 เป็นการปรับภาพลักษณ์ใหม่ของวินโดวส์สู่สายตาชาวโลก คุณสามารถทำอะไรก็ได้จะใช้เพื่อการบริโภคหรือจะใช้สร้างสรรค์ผลงาน จะทำงานหรือเล่นวินโดวส์ 8 จะให้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์

ด้านคุณเซลิสให้สัมภาษณ์ว่า ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 นั้น ใช้เวลานานหลายปีในการพัฒนา ซึ่งจะเป็นมิติใหม่ของการใช้งานคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน เล่นและความบันเทิงที่สามารถเข้ากันได้โดยไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาเราต้องเลือกว่า อุปกรณ์ใช้งานต้องเป็นแบบไหน แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง สามารถเป็นได้ทั้งคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต มีแอพพลิเคชั่นให้เลือกใช้งานอยู่บน "วินโดวส์ สโตร์" ซึ่งแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ได้รับการพัฒนาโดยนักพัฒนาที่มีการเปิดกว้าง ดังนั้น เรื่องของราคาก็จะขึ้นอยู่นักพัฒนาว่าต้องการจะคิดเงินหรือไม่ หรือถ้าคิดจะคิดเท่าไหร่ก็แล้วแต่ โดยปัจจุบันมีนักพัฒนาทั่วโลกอยู่ราว 400,000 คน เฉพาะในเอเชีย-แปซิฟิกมีอยู่ราว 30,000 คน แต่ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่สนใจจะมาพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้กับวินโดวส์ 8 ซึ่งแน่นอนว่า ไมโครซอฟท์เองได้ทำงานร่วมกับนักพัฒนาท้องถิ่นเพื่อให้ได้แอพพลิเคชั่นที่ตอบสนองความต้องการใช้งานอย่างแท้จริงของคนในพื้นที่

ตอนนี้ แอพพลิเคชั่นของไทยที่มีแล้วก็ได้แก่ ThaiRath, Major Movie Plus, GTH Cinema, Bangkok Bank และ Ensogo โดยหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว มีเครื่องคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ตกว่า 1,000 รุ่น ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 พร้อมกันนี้ ก็ยังมีการเปิดตัวร้านค้าในอีก 17 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย

ด้านคุณพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วินโดวส์ 8 ได้รับการออกแบบเพื่อโลกในวันนี้ที่ไม่มีเส้นคั่นระหว่างการใช้งานไอที เพื่อการทำงานและเพื่อความเพลิดเพลินที่บ้านอีกต่อไปโดย วินโดวส์ 8 จะมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและลื่นไหลที่สำคัญเราเชื่อมั่นว่า วินโดวส์ 8 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีรวมถึงช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงเทคโนโลยีที่ดีได้ตามพันธกิจหลักของไมโครซอฟท์ ประเทศไทย We Make 70 Million Lives
สำหรับวินโดวส์ 8 จะมีวางจำหน่ายใน 2 รุ่น คือ รุ่น Windows 8 และ Windows 8 Pro ตามร้านค้าปลีก และที่เปิดตัวในเวลาเดียวกันได้แก่ Windows RT ที่ถูกดีไซน์สำหรับใช้กับซีพียูแบบ ARM ที่ต้องการคุณสมบัติในเรื่องความบางและเบาและมีอายุการทำงานของแบตเตอรี่ที่ยาวนาน

สำหรับผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 บนเครื่องพีซีอยู่แล้วสามารถอัพเกรดเป็น Windows 8 Pro ได้ที่ราคา 39.99 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 1,250 บาท) ส่วนผู้บริโภคที่ซื้อ Windows 7 ระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน 2555 ถึง 31 มกราคม 2556 สามารถอัพเกรดเป็น Windows 8 Pro ได้ในราคา 14.99 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 499 บาท)

การเกิดขึ้นของระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 น่าจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนในแวดวงผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เริ่มได้เห็นการปรับตัวเข้าสู่ยุคของคอมพิวเตอร์ "ไฮบริด" กันมากขึ้น คือนอกจากการเป็นโน้ตบุ๊กแล้วก็จะต้องสามารถทำงานเป็นแท็บเล็ตได้ด้วย (ส่วนใหญ่) เพราะวินโดวส์ 8 เอง มีจุดเด่นอีกอย่างคือเรื่องของระบบหน้าจอสัมผัส ในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเองก็เริ่มเห็นเป็นเครื่องที่เป็นหน้าจอสัมผัสกันมากขึ้น

ถือว่า วินโดวส์ 8 ออกมาช่วยสร้างสีสันให้แก่แวดวงคอมพิวเตอร์ได้ไม่น้อย ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของระบบปฏิบัติการ "วินโดวส์ โฟน 8" ที่ไว้ใช้สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่และสมาร์ทโฟน ซึ่งไมโครซอฟท์คาดหวังไว้ไม่น้อยเช่นกันว่าจะสามารถมาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไปจาก 2 เจ้าใหญ่ ส่วนจะได้มากหรือน้อย ก็ต้องขึ้นอยู่ความพึงพอใจของผู้บริโภค ว่าจะชอบกันหรือเปล่า

3 G

3G  หมายถึงรุ่นที่ 3 ของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ (เซลลูลาร์) รุ่นที่ 3 นี้ ตามชื่อที่เรียกตามหลังสองรุ่นก่อนหน้านี้
เทคโนโลยี 1 จี เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ประมาณปี พ.ศ.2523 ด้วยเครือข่ายโทรศัพท์เซลลูลาร์แอมป์ (AMPS ย่อจาก Advanced Mobile Phone) ที่รองรับเสียงแบบอะนาล๊อกบนแถบความถี่ 800 เมกกะเฮิร์ซ เหมือนกับการกระจายเสียงวิทยุทั่วไป
เทคโนโลยี 2 จี เกิดขึ้นในทศวรรษ 1990 ประมาณปี พ.ศ.2533 ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือใช้เทคโนโลยีรองรับเสียงในระบบดิจิตอล ซึ่งมีสองเทคโนโลยี 1) เทคโนโลยี ซีดีเอ็มเอ (CDMA ย่อจาก Code Division Multiple Access) ที่สามารถเรียกได้มากถึง 64 สายต่อช่องบนแถบความถี่ 800 เมกกะเฮิร์ซ มีการใช้ในสหรัฐและแบบที่ฮัท์ชใช้อยู่ในประเทศไทย 2) เทคโนโลยีจีเอสเอ็ม (GSM ย่อจาก Global System for Mobile) ซึ่งสามารถเรียกได้ 8 สายต่อช่องสัญญาณ บนแถบความถี่ 800 ถึง 1800 เมกกะเฮิร์ซ
The International Telecommunications Union (ITU) กำหนด มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่3จี คือ IMT-2000 เพื่ออำนวยการเติบโต เพิ่มแถบความกว้างความถี่ และสนับสนุนโปรแกรมประยุกต์หลากหลาย ตัวอย่าง GSM สามารถไม่เพียงเสียง แต่รวมถึงข้อมูลสวิตช์วงจรที่อัตราความเร็วสูงถึง 14.4 Kbps แต่สนับสนุนการประยกต์มัลติมีเดีย 3จีต้องส่งมอบข้อมูลสวิตช์แพคเกตด้วยประสิทธิภาพดี ที่ความเร็วสูงกว่า
อย่างไรก็ตาม ในช่วงยกระดับจาก 2 จี เป็น 3 จี ผู้ให้บริการโทรศัพท์ได้ปฏิรูปเครือข่าย พร้อมกับแผน “ปฏิวัติ” เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหม่ ซึ่งได้นำไปสู่ก่อตั้ง 3GPP (3rd Generation Partnership Project) และ 3GPP2 (3rd Generation Partnership Project 2)
3rd Generation Partnership Project (3GPP) ก่อตั้งในปี 1998 เพื่อพัฒนาเครือข่าย 3 จี จาก GSM เทคโนโลยีที่พัฒนาคือ
      - General Packet Radio Service (GPRS) เสนอความเร็วสูงถึง 114 กิโลบิตต่อวินาที
      - Enhanced Data Rates for Global Evolution (EDGE) เสนอความเร็วสูงถึง 384 กิโลบิตต่อวินาที
      - UMTS Wideband CDMA (WCDMA) เสนอความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 1.92 เมกกะบิตต่อวินาที
      - High Speed Downlink Packet Access (HSDPA) เพิ่มความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 14 เมกกะบิตต่อวินาที
      - LTE Evolved UMTS Terrestrial Radio Access (E-UTRA) มีเป้าหมายที่ 100 เมกกะบิตต่อวินาที

  GPRS มีให้ในปี 2543 ตามด้วย EDGE ในปี 2546 เทคโนโลยีนี้บางครั้งเรียกว่า 2.5 จี เพราะไม่ได้เสนออัตราข้อมูลหลายเมกะบิต (multi-megabit) EDGE ได้รับการแทนที่โดย HSDPA (และหุ้นส่วนอัพลิงค์ HSUPA) ตามรายงานของ 3GPP กล่าวว่า HSDPA มี 166 เครือข่ายใน 75 ประเทศเมื่อสิ้นปี 2550 LTE E-UTRA ซึ่งเป็นขั้นไปของ GSM จะสามารถนำมาใช้ได้ในปี 2551
องค์กรที่สอง 3rd Generation Partnership Project 2 (3GPP2) ได้รับการก่อตั้งเพื่อช่วยผู้ให้บริการโทรศัพท์อเมริกาเหนือและเอเซียในการปรับแปลง CDMA2000 ไปสู่ 3 จี เทคโนโลยีที่ 3GPP2 พัฒนาคือ
      - One Times Radio Transmission Technology (1xRTT) เสนอความเร็วสูงถึง 144 กิโลบิตต่อวินาที
      - Evolution – Data Optimized (EV-DO) เพิ่มความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 2.4 เมกกะบิตต่อวินาที
      - EV-DO Rev. A เพิ่มความเร็วรับข้อมูลสูงถึง 3.1 เมกกะบิตต่อวินาที และลดซ่อนเร้นอยู่ภายใน
      - EV-DO Rev. B สามารถใช้ 2 ถึง 5 ช่อง แต่ละการรับข้อมูลสูงถึง 4.9 เมกกะบิตต่อวินาที
      - Ultra Mobile Broadband (UMB) ตั้งเป้าหมายให้ถึง 288 เมกกะบิตต่อวินาทีในการรับข้อมูล

1xRTT มีให้ในปี 2545 ตามด้วย EV-DO Rev. 0 เชิงพาณิชย์ในปี 2547 อีกครั้ง 1xRTT ได้รับการอ้างเป็น “2.5จี” เพราะสิ่งนี้รองรับขั้นการปรับแปลงไปสู่ EV-DO มาตรฐาน EV-DO ได้รับการขยายสองเท่า ซึ่ง Revision A ออกมาใช้ในปี 2549 และกำลังถูกแทนที่โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Revision B ที่เพิ่มอัตราข้อมูลโยการส่งผ่านหลายช่อง UMB ที่เป็นเทคโนโลยีต่อไปของ 3GPP2 อาจจะไม่แพร่หลาย เพราะโอเปอร์เรเตอร์ CDMA กำลังวางแผนปฏิรูป LTE แทน

ตามความจริง LTE และ UMB มักจะได้รับการเรียกว่า เทคโนโลยี 4จี (fourth generation) เพราะเพิ่มความเร็วดาวน์ลิงค์ตามลำดับของขนาด ป้ายนี้คือ มาก่อนกำหนดเล็กน้อยเพราะ การสร้าง “4จี” ยังไม่เป็นมาตรฐาน ITU กำลังพิจารณาคู่แข่ง สำหรับการสรุปในมาตรฐาน 4G IMT-Advanced รวมถึง LTE, UMB และ WiMAX II เป้าหมายของ 4จี รวมถึง อัตราข้อมูลอย่างน้อย 100 Mbps การส่งผ่าน OFDMA การส่งมอบแพคเกตสวิตช์ของเสียง ข้อมูล และมัลติมีเดียต่อเนื่องบนฐาน IP

ข้อมูลจาก : widebase.net

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

APPLE


แอ๊ปเปิ้ล APPLE


เป็นผลไม้ยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก ต้นแอ๊ปเปิ้ลสูงประมาณ 5-12 เมตร ผลมีเปลือกสีแดง ชมพู เขียว และเหลืองตามสายพันธุ์ เนื้อในเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล

คุณค่าโภชนาการ เมื่อกินโดยไม่ปอกเปลือก จะมีพลังงาน 80 แคลอรี วิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม วิตามินซี 7.9 มิลลิกรัม เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม หากปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญต่างๆ ก็จะลดลงไปจากที่กล่าวไว้

แอ๊ปเปิ้ลมีสารสำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ คือ

เพคติน มีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

บทความในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2470 ยกให้แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก เกาต์ ดีซ่าน และอื่นๆ

แอ๊ปเปิ้ลยังช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่แอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิว แต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย

กินแอ๊ปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด แต่จะได้ผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แอ๊ปเปิ้ลลดคลอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย

คณะวิจัยมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส ฝรั่งเศส ทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 30 คน โดยให้กินอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่กินแอปเปิ้ลด้วยวันละ 3 ผล ทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัคร 24 คน มีปริมาณคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดมากกว่า 10% และเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคลอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจะคอยดักจับคลอเลสเตอรอลเหล่านั้นนำไปทิ้งก่อนจะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกาย เป็นการขจัดคลอเรสเตอรอลออกไป

แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด ปกติเมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้น เช่น ถ้ากินน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอ๊ปเปิ้ล ถึงจะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น และยังพบว่าคนที่กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ มีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่กินน้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก

มาทำความรู้จักกับประโยชน์ของแอ๊ปเปิ้ล โดยแบ่งตามสีดังนี้


อิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

2. แอ๊ปเปิ้ลสีชมพู มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่เราไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่

10Banaue Rice Terraces
บันไดข้าวที่บานาเวนั้นเป็นการเกาะสลักภูเขาทั้งลูกในการอยู่ในจังหวัดอีฟูเกา ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อใช้ในการปลูกข้าว จากประวัตินั้นมันมีอายุกว่าพันปี สมัยก่อนนั้นการทำนาจะต้องใช้พื้นที่ราบ หากแต่พื้นที่ภูมิประเทศนี้เต็มไปด้วยเขาสูงมีที่ราบน้อย น้ำและเนื้อที่ในการทำการเกษตรจึงเป็นปัญหา ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน จึงได้คิดวิธีทำนาแบบขั้นบันไดขึ้นตามไหล่เขา โดยสกัดไหล่เขาให้เป็นชั้น ๆ ลดหลั่นลงมาเป็นขั้นบันได เพื่อช่วยเพิ่มเนื้อที่ในการเพาะปลูก เป็นการรักษาหน้าดินไม่ให้ถูกชะล้างไป อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำทั้งในแง่การชลประทานโดยการเก็บกักน้ำฝน และยังช่วยป้องกันน้ำท่วมอีกด้วย โดยนาข้าวที่บานาเวนั้นเป็นภูเขาสูงอยู่เหนือน้ำทะเล 5,000 ฟุต นาข้าวแต่ละแห่งมีเนื้อที่ 10,360 ตารางกิโลเมตร และในปี ค.ศ.1985 องค์การยูเนสโกได้จัดสถานที่นี้เป็นมรดกของโลก
9Sigiriya
คีริยา เป็นเมืองใหญ่โบราณมหึมาของศรีลังกา สร้างขึ้นโดยพระเจ้ากัสสัปปะ ประมาณ ค.ศ. 470 โดยพระองค์ได้สร้างเมืองนี้ขึ้นอยากให้มันเป็นโลกศักดิ์สิทธ์ของพระองค์ เป็นสวรรค์ตนเองอยู่บนตำแหน่งสูงสุด และมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ เพราะมันที่ใหญ่อลังการมาก ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,300,000 ตารางเมตร มีถนน มีระบบชลประทาน และสถานที่เกี่ยวกับศาสนามากมาก หนึ่งในนั้นนั่นก็คือถ้ำที่พระองค์ทรงสร้างเพื่อมอบแก่พุทธสาวกได้ปฏิบัติธรรม แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือที่ใจกลางเมือง มีภูผาหินขนาดยักษ์ ที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังกับป้อมปราการอันน่าเกรงขามและทิวทัศน์ตระการตาสวยงาม ฐานของป้อมที่ก่อด้วยอิฐ มีอายุมากกว่า 1,500 ปี ฮินดู และเป็นหนึ่งในมรดกโลกของศรีลังกา
8Torun
เมืองทอรูน เป็นเมืองทางเหนือในประเทศโปแลนด์ ที่ยังคงสภาพเป็นเมืองเก่าสมันกลางไว้ได้ ที่นี้เป็นบ้านเกิดของนิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส( Nicolaus Copernicus)นักดาราศาสตร์ที่เสนอทฤษฏีว่าโลกไม่เป็นจุดศูนย์กลาง โดยอายุของเมืองนี้มีมาอย่างยาวนานถึง 1,100 ปี ซึ่งเป็นที่ตั้งถิ่นฐานเก่าของโปแลนด์ โดดเด่นคือเป็นเมืองศูนย์กลางค้าและสถานที่เก่าแก่มากมาย และไม่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยแต่อย่างใด
7Tower of Hercules
ประภาคารเฮอร์คิวลิส เป็นประภาคารและสถานที่ทางเข้าของ 'ลา คอรุญญา' ท่าเรือสำคัญ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน เมืองแห่งนี้สร้างขึ้นโดยชาวโรมันมาถึงบริเวณเมืองนี้ในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ผู้อาศัยในนิคมนี้ได้สร้างตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ไว้ และในไม่ช้าเมืองนี้ก็มีความสำคัญขึ้นในการค้าทะเล และหอหอเฮอร์คิวลิส เป็นประภาคารที่เปิดทำการต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกือบ 1,900 ปี ซึ่งในบริเวณเดียวกันมีสวนประติมากรรม หินแกะสลักจากเหล็กและสุสานมุสลิม
6Ajanta Caves
ถ้ำอชันตา ได้ชื่อว่าเป็นวัดถ้ำในพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อน ในบริเวณฝั่งตะวันตกของที่ราบสูงเดกกัน โดยวิธีการสร้างนั้นเป็นขุดเจาะเข้าไปในหินบาซอลต์ (แกรนิตแข็ง) โดยขุดจากหินก้อนเดียวจนเป็นวิหารขนาดใหญ่โดยใช้สิวและค้อนเท่านั้น ระยะเวลาการเจาะทั้งหมด 800 ปี เริ่มเจาะตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 3 จนกลายเป็นถ้ำมากกว่า 30 ถ้ำ เรียงตัวต่อเนื่องกันยาวหลายร้อยเมตรบนเชิงเขาสูงวงโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยว ภายในมีวิหารขนาดใหญ่ภายในเต็มไปด้วยงานแกะสลักหิน เป็นเจดีย์ เป็นพระพุทธรูป เป็นเรื่องราวต่างๆ ในพุทธประวัติและชาดกเต็มไปหมด โดยไม่ผุพังตามกาลเวลาแม้แต่น้อย
5Valley of Flowers
เป็นสถานที่มาท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ในเทือกเขาหิมาลัย ในรัฐ Uttaranchal ซึ่งอยู่ทางเหนือของอินเดีย ประเทศอินเดีย ที่ถูกยอมรับว่าเป็นสถานที่มีชื่อเสียง สวยงามอย่างกับสวรรค์บนดินจนถูกนำมาบรรยายในวรรณคดีมาหลายศตวรรษและปรากฏในศาสนาฮินดูมาช้านานเพราะที่นั้นมีทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์เฮ็มกุน (Hemkund Sahib)ที่พวกพราหมณ์ชอบนำน้ำในแม่น้ำนี้มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาประจำ(ใครเคยดูสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้าอาจคุ้นๆ) อีกทั้งนักพฤษศาสตร์ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะที่นั้นเต็มไปด้วยพรรณไม้ ดอกไม้นานาพันธุ์ และสถานที่แห่งนี้ได้ถูกประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติในปี 1982 และเป็นมรดกโลก
4Metéora
เมทิโอร่า ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศกรีซ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก ด้วยความเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างอยู่บนก้อนหินใหญ่สูงสง่า โดยอดีตสถานที่แห่งนึ้ถูกใช้เป็นที่พํานักของนักบวชคริสตนิกายออร์โธด็อกซ ซึ่งไดสร้างอารามไว้บนยอดเขาด้วยมีความเชื่อที่ว่า จะได้ใกล้ชิดกับสวรรค และเป็นการง่ายต่อการป้องกันศาสนาอื่นมารุกรานอีกด้วย ด้วยความโดดเด่นของการสร้างสรรค์ของศิลปะแบบไบแซนไทน์ เมทิโอร่า จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก้ใน ปี 1988
3Bagan
พุกามได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ที่สวยงามและมีคุณค่า หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์ น่าเสียดายตอนนี้พุกามเป็นเมืองที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ทั้ง ๆ ที่มีคุณสมบัติเต็มพร้อม ปัจจุบันรัฐบาลทหารพม่ากำลังพยายามเร่งเสนอชื่อและเตรียมความพร้อมให้เป็นมรดกโลกทางศิลปวัฒนธรรมแห่งต่อไป
2Leptis Magna
เมืองเลปติส เมกนา ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงทริโปลีในประเทศลิเบียถูกขนาม นามว่าเป็น อาณาจักรโรมันที่มีชื่อเสียงและงดงามมากที่สุดในแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันยังคงสภาพ ความรุ่งโรจน์ ด้วยเพราะอาณาจักรถูกสร้างโดยหินปูน จึงทำให้ทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวนับครั้ง ไม่ถ้วน จุดเด่นของเมืองมิใช่เพียงแค่ความงาม เท่านั้น แต่ผังเมืองที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ไม่ว่า จะเป็นถนน, อาคารซึ่งถูกประดับตกแต่งอย่างงดงาม, โรงอาบน้ำโรมัน ซึ่งถูกวางผังไว้ในตำแหน่ง เหมาะสม, สภาประชุม, หอประชุมสำหรับขุนนาง หรือไม่ว่าจะเป็น โรงละคร หรือคอมเพล็กซ์
1The Library of Celsus
ห้องสมุดเซลซุส เป็นอาคาร 2 ชั้น สร้างในปี ค.ศ.114-117 โดย ดิเบริอุส จูลิอุส อาควิลา เพื่ออุทิศให้กับ 'ดิเบริอุส จูลิอุส เซลซุส' ผู้เป็นบิดา โดยฝังโลงศพหินเอาไว้ที่ใต้หอสมุดและใช้เป็นแหล่งรวบรวมความรู้ แสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ในอดีต ห้องสมุดแห่งนี้มีทางเข้า 3 ทาง โดยบริเวณประตูทางเข้ามีรูปแกะสลักเทพี 4 องค์ประดับอยู่ ได้แก่ เทพีแห่งปัญญา เทพีแห่งคุณธรรม เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และเทพีแห่งความรู้ รูปแกะสลักเทพีทั้ง 4 องค์นี้เป็นของจำลอง ส่วนของจริงนักโบราณคดีชาวออสเตรียได้นำกลับไปออสเตรีย และตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเวียนนา

ครบเครื่องเรื่อง"ไข้หวัด"

ไข้หวัดใหญ่

ครบเครื่องเรื่อง"ไข้หวัด"
หวัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง (โดยเฉพาะในเด็กเล็ก และ เด็กที่เพิ่งเข้าโรเรียนในปีแรก ๆ อาจเป็นเฉลี่ยประมาณ เดือนละครั้ง) ทำให้ต้องสูญเสียแรงงาน เวลาเรียน และสิ้นเปลืองเงินทองไปปีละมาก ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเชื้อไว้รัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัด(เชื้อหวัด) มีอยู่เกือบ 200 ชนิด ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน กันทำให้เกิดอาการอักเสบของทางเดินหายใจ ส่วนต้น (จมูก และคอ) ครั้งละชนิด

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้นและมีอาการรุนแรงน้อยลงไป โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการอยู่ใกล้ชิดกัน จึงพบเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และที่ ๆ มีคนอยู่รวมกลุ่มกันมาก ๆ เป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ส่วนในฤดูร้อนจะพบน้อยลง

สาเหตุ
เกิดจากเชื้อหวัด ซึ่งเป็นไวรัส (virus) มีอยู่ร่วม 200 ชนิดด้วยกัน การเกิดโรคขึ้นในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน นอกจากนี้ เชื้อหวัด ยังอาจติดต่อโดยการสัมผัสมือกล่าวคือ เชื้อหวัด อาจติดที่มือของคน ๆ นั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื่อก็จะเข้าสูร่างกายของคน ๆ นั้นจนกลายเป็นไข้หวัดได้ ระยะฟักตัว (ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น) 1-3 วัน

อาการ
มีไข้ตัวร้อนเป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลี่ย ปวดหนักศีรษะเล็กน้อย ไอแห้ง หรือไอมีเสมหะ เล็กนอ้ย ลักษณะสีขาว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกเจ็บแถวลิ้นปี่เวลาไอ
ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงคัดจมูก น้ำมูกใส ในเด็กมักจับไข้ขึ้นมาทันทีทันใด บางครั้งอาจมีไข้สูง และชัก ท้องเดิน หรือถ่ายเป็นมูกร่วมด้วย ถ้าเป็นอยู่เกิน 4 วัน อาจมีน้ำมูกข้นเหลือกหรือเขียวหรือไอมีเสลดเป็ฯสีเหลืองหรือเขียว จากการอักเสบซ้ำของเชื้อแบคทีเรีย และอาจมีอาการอื่น ๆ แทรกซ้อนตามมา ซึ่งจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ ร่วมด้วย

สิ่งที่ตรวจพบ
ไข้ น้ำมูก เยื่อจมูกบวม และ แดง คอแดงเล็กน้อย ในเด็กอาจพบต่อมทอนซิลโต แต่ไม่แดงมาก และ มีหนอง

อาการแทรกซ้อน
ที่พบบ่อยเกิดจากกาอักเสบแทรกซ้อนของเชื้อแบคทีเรีย (bacteria) ทำให้มีน้ำมูกหรือแสลดเป็นสีเหลือง หรือเขียว ถ้าลุกลามไปยังบริวเณใกล้เคียง อาจทำให้เป็นต่อมทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ในเด็กเล็ก อาจทำให้มีอาการลักจากไข้สูงท้องเดิน บางคนอาจมีเสียงแหบ เนื่องจากกล่องเสียงอักเสบ บางคนอาจมีอาการวิงเวียน เนื่องจากอวัยวะการทรงตัวภายในหูชั้นในอักเสบ ดังที่เรียกว่า หวัดลงหู ซึ่งจะหายได้เองภายใน 3-5 วัน โรคแทรกซ้อนมักเกิดในผู้ป่วยที่ไม่ได้พักผ่อนตรากตรำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ (เช่น ขาดอาหาร) ในทารกหรือคนสูงอายุ

การรักษา
เนื่องจากไขข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่ยาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่ให้การรักษาไปตามอาการเท่านั้น ได้แก่

แนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ดังนี้
1.พักผ่อนมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนักหรือออกกำลังมากเกินไป
2.สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าให้ถูกฝน หรือถูกอากาศเย็นจัด และอย่าอาบน้ำเย็น
3.ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดไข้ และทดแทนน้ำ ที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง
4.ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ
5.ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัด หรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลา มีไข้สูง

ข้อแนะนำเหล่านี้สามารถใช้กับผู้ป่วยที่มีไข้จากสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน
ให้ยารักษาตามอาการ ดังนี้
*สำหรับผู้ใหญ่ และ เด็กโต (อายุมากกว่า 5 ปี )
*ถ้ามีไข้ ให้ยาลดไข้ เช่น แอสไพริน พาราเซตามอล
*ถ้ามีอาการคัดจมูกหรือจาม ให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน
*ถ้ามีอาการไอ ให้ยาแก้ไอ เช่น ยาแก้ไอน้ำดำ ยาแก้ไอน้ำเชื่อม

สำหรับเด็กเล็ก(อายุต่ำกว่า 5 ปี )
*ถ้ามีไข้ให้ใช้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ชนิดน้ำเชื่อม เบบี้แอสไพริน
*ถ้ามีอาการคัดจมูกหรือจาม ให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟริรามีนชนิดน้ำเชื่อม
*ถ้ามีน้ำมูกคัดจมูกมาก หายใจไม่สะดวกให้ใช้ลูกยางดูดเอาน้ำมูกออกบ่อย ๆ
*ถ้ามีอาการไอร่วมด้วยให้ยานำเชื่อมชนิดที่มียาแก้แพ้ผสมกับยาขับเสมหะ อยู่ในขวดเดียวกัน เช่น ยาขับเสมหะ คลอริเอต, ยาขับเสมหะไพริทอน ไม่ต้องให้ยาแก้แพ้แยกต่างหาก
*ถ้าเด็กเคยชักหรือมีไข้สูงร้องกวนไม่ยอมนอน ให้ยากันชัก เช่น ฟีโนบาร์บิทาล

ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องให้เพราะว่าไม่ได้เจอผลต่อการฆ่าเชื้อหวัดซึ่งเป็นเชื้อหวัดซึ่งเป็นไวรัส(อาการที่สังเกตุได้คือมีน้ำมูกใส ๆ ) ยกเว้นในรายที่สงสัยว่ามีอาการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม เช่น มีน้ำมูกหรือเสลดข้นเหลืองหรือขียว คอแดงจัด หรือปวดหู ยาปฏิชีวนะ ให้เลือกใช้เพนวี แอมพิซิลลิน ในรายที่แพ้เพนิ่ซิลลิน ใหใช้อีริโทรมัยซิ่น แทน ควรให้นาน 7-10 วัน

ถ้าไอมีเสลดเหนียว ให้งดยาแก้แพ้ และ ยาแก้ไอ ควรให้กินยาขับเสมหะ เช่น มิสต์สกิล แอมมอน และให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ ห้ามดื่มน้ำเย็น ถ้ามีอาการหอบ หรือมีไข้สูงนานเกิน 7 วันควรแนะนำไปโรงพยาบาล โดยเร็ว อาจจะต้องเอกเรย์หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ

ข้อแนะนำ
ในปัจจะบันไม่มียาที่ใช้รักษา และป้องกันไข้หวัด อย่งางได้ผล การรีกษา อยู่ที่การพักผ่อนและการปฏิบัติตัว ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ยาที่ใช้ก็เป็ยาที่รักษาตามอาการเท่านั้น โดยทั่วไปอาการตัวร้อนมักจะหายภายใน 4-5 วัน

ผู้ป่วยบางคนถึงแม้จะหายตัวร้อนแล้ว แต่ก็อาจมีน้ำมูกไหล และไอต่อไปได้ บางคนอาจไอโครก ๆ นาน 1/2 - 1 เดือน ซึ่งมกจะเป็นลักษณะแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อย เป็นสีขาว ถ้าพบว่าผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติ อื่น ๆ ร่วมด้วย ก็ไม่ต้องให้ยาอะไรทั้งสิ้น ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ ห้ามดื่มน้ำ เย็น อาการไอจะค่อย ๆ หายไปเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แก่ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดทุกรายยกเว้นในรายที่สงสัยจะมีอาการแทรกซ้อนเท่านั้น

ผู้ที่เป็นไข้หวัด (มีอาการตัวร้อนร่วมด้วย) เรื้อรัง หรือเป็น ๆ หาย ๆ ประจำอาจมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจรั่ว มากแต่กำเหนิด ธาลัลซีเมีย โรคโหลิตจางอะพลาสติก โรคขาดอาหาร เป็นต้น จึงควรตรวจดูว่ามีสาเหตุเหล่านั้นร่วมด้วยหรือไม่ หากสงสัยควรแนะนำไปโรงพยาบาล

ผู้ที่เป้นหวัด และจามบ่อย โดยไม่มีไข้ มักเกิดจากการแพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือละอองเกสร เป็นต้น มากกว่าจากการติดเชื้อไวรัส

ผู้ที่มีอาการไข้และมีน้ำมูก แต่ตัวร้อนจัดตลอดเวลา กินยาลดไข้ก็ไม่ค่อยทุเลา มักจะไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา แต่อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น หัด ปอดอักเสบ หรือ ต่อมทอนซิลอักเสบ ควรตรวจดูอาการของโรคเหล่านี้อย่างละเอียด

นอกจากนี้ยังมีโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด ที่ในระยะแรกอาจแสดงอาการคล้ายไข้หวัด ได้เช่น มีเลือดออก ไอกรน คอตีบ โปลิโอ ตับอักเสบ จากไวรัส ไข้รากสาดน้อย สอมงอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น จึงควรติดตามอดูอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ถ้าพบว่ามีไข้นานเกิน 7 วัน หรือมีอาการผิดไปจากไข้หวัดธรรมดา ควรแนะนำให้ผู้ป่วยไปโรงพยาบาล อย่าซื้อหรือจ่ายยาชุดแก้หวัดที่มีคลอแรมเฟนิคอล เตตราซัยครีน หรือเพร็ดนิโซโลน ผสมอยู่ด้วย หรือยาผงแก้เด็กตัวร้อนที่เข้าคลอแรมเฟนิคอล หรือเตตราซัยคลีน ให้ผู้ป่วยกิน นอกจากจะไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นอัตรายได้

การป้องกัน
1. ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก อย่านอนปะปน กับผู้อื่น เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าปิดปาก หรือจมูก ไม่หายใจรดผู้อื่น
2.อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย
3.ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอโดย เฉพาะในเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง
4.อย่าตรากตรำงานหนักเกินไป แต่ควรออกกำลังกายแข็งแรงอยู่เสมอ
5.ไม่ควรเข้าไปที่ที่คนแออัด เช่น ตามโรงมหรสพ โดยเฉพาะในขณะที่มีการระบาดของไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่
6.ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่อากาศเย็น
7.ควรหมั่นล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ (ทั้งผู้ป่วยและที่คนที่อยู่ใกล้เคียง) และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ ตาหรือแคะไชจมูก



ความรู้เกี่ยวกับโรคหวัด
คนเราส่วนมากเคยเป็นหวัดมาแล้วทั้งนั้น เพราะว่าเชื้อที่ทำให้เกิดโรคหวัดมีอยู่ทั่วไป บางคนอาจจะเป็นหวัดปีละ 2 ถึง 4 ครั้ง เป็นจนเซ็ง เซ็งว่า ทำไมยังไม่มีใครทำลายเชื้อโรคนี้ให้น้อยลง ที่จริงโรคหวัดมันมีมาคู่กับมนุษยชาตินานมาแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหายาฆ่าเชื้อหวัดได้ ดังนั้นทางที่ดีที่จะรักษาโรคหวัดได้คือ ความรู้ที่ใช้ในการป้องกัน

โรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีอยู่ราว 200 ชนิด ที่ทำให้เกิดโรคหวัดได้ หวัดอาจจะติดต่อกัน ทางการไอหรือจาม การใช้เครื่องใช้ไม้สอยร่วมกับคนที่เป็นหวัด มีคนเข้าใจผิดคิดว่าหวัดติดต่อกัน ทางการไอจามใส่กันมากที่สุด แต่ที่จริงแล้วติดต่อทางมือมากที่สุด เขาพิสูจน์กันมาแล้วในต่างประเทศ ในประเทศตะวันตกหวัดมักระบาดมากที่สุดในฤดูหนาว การที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าในฤดูหนาว คนเราจะอยู่ในบ้านมากกว่านอกบ้าน เวลาคนเป็นหวัดไอหรือจามก็มักจะเอามือปิดปาก เชื้อหวัดก็จะติดมือไปติดลูกบิดซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปสู่มือคนอื่น เมื่อเอามือไปป่าย ไปเช็ดหน้าตาจมูกหรือปากก็จะติดเชื้อหวัด

อาการหวัด มักจะเริ่มด้วยอาการคันคอ จาม ไอแห้งๆ คัดจมูก น้ำมูกไหล มักจะเกิดอาการ 2 ถึง 3 วันหลังจากได้รับเชื้อหวัด แล้วมันอาจจะเป็นอยู่นาน 2 ถึง 14 วัน แต่คนส่วนใหญ่เป็นอยู่นาน 7 วัน ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้แก่

อายุ คนที่อายุน้อยกับคนสูงอายุเป็นได้บ่อยกว่า คนสูบบุหรี่เป็นมากกว่าคนที่ไม่สูบ การได้รับเชื้อมากเป็นได้มากกว่าการได้รับเชื้อน้อย ภูมิต้านทานของร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง คนที่มีภูมิต้านทานโรคลดจากความเครียด การอดนอน ดื่มเหล้า ตากแดด ฯลฯ จะเป็นโรคได้ง่าย

เมื่อเป็นหวัด การรักษาที่ดีคือการพักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้ดี ดื่มน้ำอุ่นให้เยอะๆ เข้าไว้ น้ำอุ่นจะดีกว่าน้ำเย็น เนื่องจากมันจะไม่ทำให้อาการไอเป็นมากขึ้น ยาส่วนมากที่ใช้ ไม่ใช่เพื่อฆ่าเชื้อหวัดโดยตรงแต่เป็นยาที่ใช้บรรเทาอาการหวัด เช่น

ยาแอนติฮีสตามีน เช่น ยา CPM, Benadryl, Chlortrimeton ยาพวกนี้ไปลดน้ำมูก ลดการจาม ให้ดีต้องใช้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเป็นหวัด ยาพวกนี้ทำให้ง่วง ต้องระวังโดยเฉพาะคนที่ต้องขับรถ หรือทำงานกับเครื่องจักร อีกทางหนึ่งมันอาจจะทำให้นอนไม่หลับ เช่น คนไข้ชายสูงอายุ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก ยาพวกนี้อาจทำให้ปัสสาวะไม่ค่อยออก เกิดปัสสาวะคั่ง ซึ่งทำให้นอนไม่หลับเพราะต้องตื่นขึ้นมาถ่ายปัสสาวะทั้งคืน

ยาลดการคัดจมูก เช่น Neo-synephrine, Sudafed มันมีฤทธิ์ทำให้เยื่อบุจมูกหดตัว มีการบวมน้อยลง ส่วนยาชนิดพ่นจมูกก็เหมือนกัน แต่ไม่ควรใช้เกินวันละ 3-4 ครั้ง เพราะจะทำให้อาการเลวลงเนื่องจากเมื่อใช้มากเยื่อบุจมูกจะบวมมากขึ้น คนที่มีโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยงยานี้เนื่องจากมันทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

ยาแก้ไอ dextromethorphan, codeine, หรือยาลดเสมหะ guaifenesin ก็มีขายตามร้านขายยาทั่วไป