วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

มิสเตอร์บีน


มิสเตอร์ บีน เป็นตัวละครหลัก รับบทโดย โรวัน แอตคินสัน เป็นคนที่ลักษณะที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น เป็นคนชอบประดิษฐ์ (แต่ไม่เข้าท่า) มีเพื่อนที่มิสเตอร์บีนรักมากที่สุดคือ เท็ดดี้ มีแฟนคือ ไอรมา ก็อบ มิสเตอร์ บีน ทำงานอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติ ลอนดอน เป็นผู้รักษาความปลอดภัย (รปภ.) มิสเตอร์ บีนเป็นคนที่มีเสียงทุ้ม (อย่างเช่นพูดชื่อตัวเอง บีน) แต่ถ้าพูดติดต่อกันหลายๆ คำ จะพูดเร็ว ในตอนแรกมิสเตอร์ บีน เป็นนักเรียนที่เก่งในวิชา ตรีโกณมิติ ในภาพยนตร์เรื่อง บีน เดอะมูฟวี่ ชื่อมิสเตอร์ บีน จะเรียกใหม่ว่า ดร.บีน แทนคำว่า มิสเตอร์ บีน (ยกเว้นช่วงที่อยู่ที่ลอนดอน) แต่ในภาพยนตร์เรื่องมิสเตอร์บีน พักร้อนนี้มีฮา ในพาสปอร์ต จะเขียนชื่อมิสเตอร์ บีนว่า โรวัน

ในตอนเปิดตัวมิสเตอร์บีนตกจากท้องฟ้าจากลำแสงสีขาวเลยมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การ์ตูนเรื่อง มิสเตอร์ บีน ซึ่งนำเค้าโครงมาจากเรื่อง มิสเตอร์ บีน มาทำเป็นการ์ตูน ได้ทำการฉายการ์ตูนมิสเตอร์ บีน ตอนหนึ่ง ซึ่งมิสเตอร์ บีน ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบ จึงได้รับการปล่อยตัวออกมาโดยลำแสงสีขาว ซึ่งนั่นก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ว่า ทำไมฉากเปิดตัว มิสเตอร์ บีน จึงตกลงมาจากลำแสงสีขาว

ประเพณีการรัดเท้าของสาวชาวจีน

หญิงชาวจีนสมัยก่อนเชื่อว่า การที่เท้ายิ่งเล็ก ยิ่งจุ๋มจิ๋ม ยิ่งสวย แล้วก็เป็นที่ต้องตาของชายหนุ่มในสมัยนั้นด้วย ขนาดที่เขาว่าสวยนั้น จะมีขนาดไม่เกิน 3 นิ้ว (ตีนเด็กป่าวเนี่ย) หรือที่เรียกกันว่า ดอกบัวทองคำ 3 นิ้วถ้ายาวกว่า 3 นิ้วแต่ไม่เกณฑ์ 4 นิ้วให้เรียกว่า เท้าดอกบัวเงินหากยาวกว่า 4 นิ้วก็จะถูกลดชั้นเป็น ดอกบัวเหล็กพูดง่ายๆ คือ ตีนโตๆ จะหาผัวไม่ได้ การมัดเท้าจะนิยมมัดกันในกลุ่มลูกสาวไฮโซ มีชาติตระกูล แล้วมัดกันตั้งแต่เด็กๆ ด้วยนะ สำหรับสาวๆ ตามท้องนา มัดเท้าไปคงจะไม่ได้ทำนานแน่ เพราะเดินไม่ได้ อยากรู้ว่าทำไมต้องมัด

มีตัวอย่าง ของหญิงคนนึงที่ได้ผ่านประเพณีการมัดเท้าอันแสนทรมานมาให้ชม


ที่เห็นนั่นไม่ใช่เท้าขาดนะ (แต่เหมือนเท้าขาดมาก) มันคือผลจากการมัดเท้าตั้งแต่เด็กๆ สังเกตดู กระดูกที่หลังเท้า จะโก่งขึ้น และฝ่าเท้า กับส้นเท้าพับหากัน จนเป็นร่องเหมือนเท้าขาด ส่วนที่เป็นเหมือนดินน้ำมันเส้นๆ นั้นแปะอยู่ คือนิ้วเท้าทั้ง 4 ที่ถูกพับลงมา และพิการถาวร :o เขาต้องการให้มันเป็น 3 เหลี่ยม ถึงจะใส่ร้องเท้าเล็กๆ สีแดงๆ นั้นได้ บางรายถึงขั้นเดินไม่เป็นเลยก็มี
การห้ามผู้หญิงมัดเท้า เป็นผลพวงครั้งใหญ่จากการปฏิวัติซินไฮ่ แต่อันที่จริงเมื่อศึกษาดูจากประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่า การพันเท้าไม่ใช่ประเพณีดั้งเดิมที่ปฏิบัติต่อกันมาของสาวจีน
จากการขุดค้นพบศพหญิงสาวสมัยฮั่น ที่หม่าหวางตุย และซากศพแห้งของหญิงสาวที่ซินเกียง ล้วนเป็นซากศพที่มีเท้าใหญ่ ไม่ได้มีร่องรอยของการมัด หรือพันเท้าแต่อย่างใด
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ประเพณีการมัดเท้าแท้จริงแล้ว เริ่มมีมาแต่สมัยใด?
หลังจากสมัยราชวงศ์ถัง ประเทศจีนได้เกิดช่วงเวลาแห่งการแตกแยกครั้งใหญ่ขึ้นช่วงหนึ่ง ในบันทึกประวัติศาสตร์ เรียกช่วงเวลานี้ว่า "5ราชวงศ์ 10อาณาจักร"
ในช่วงเวลานั้น ราชวงศ์ถังใต้ มีกษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า หลี่โฮ่วจู่ มีนิสัยชอบอ่านหนังสือ มีฝีมือด้านอักษรศาสตร์ และจิตรกรรม แต่กลับขาดความสามารถด้านการปกครองประเทศ
พระองค์ทรงมีพระสนมนางหนึ่ง เต้นรำอ่อนช้อยงดงาม ใช้ผ้าพันเท้า เท้านางเล็กโค้งงอดั่งพระจันทร์เสี้ยว นางสวมถุงเท้าขาว เต้นระบำอยู่บนดอกบัวที่ทำด้วยทองสูง 6 ฟุต ลอยละล่องดุจเทพธิดา
นางได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากโฮ่วจู่เป็นอย่างมาก
คนสมัยต่อมาใช้คำ "จินเหลียน (ดอกบัวทอง)" มาบรรยายเท้าเล็กของหญิงสาว
จากนั้นเป็นต้นมา กระแสนิยมมัดเท้าภายใต้การริเร่มของนักปกครองในสมัยศักดินา ก็ได้สืบทอดต่อๆกันมา ยุคแล้วยุคเล่า นับวันกระแสความนิยมนี้ ก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
จนกระทั่งส่วผู้มีเท้าใหญ่แทบไม่มีโอกาสได้แต่งงาน หญิงสาวชาวจีนถูกกระทำอย่างทารุณเช่นนี้นับเป็นเวลาถึงพันกว่าปี
จนกระทั่งปัจจุบัน พวกเราสามารถเห็นบรรดาหญิงสาวสูงอายุที่มีเท้าเล็ก เดินเหินด้วยความยากลำบาก ตามถนนหนทาง หรือตามตรอกซอกซอยได้โดยบังเอิญ
หญิงสาวเหล่านี้คือหลักฐานที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงชะตากรรมของสตรีเพศ ภายใต้การปกครองในระบอบศักดินา
"แฟชั่นรองเท้าดอกบัวทองคำ"
ชีวิตคนเมืองจีน / คนสมัยนี้คงจะจินตนาการไม่ออกแน่ว่าเมื่อประมาณ 1,000 ปีที่แล้ว สังคมจีนมีประเพณีที่พิลึกพิลั่นในการประเมินความงามของหญิงสาว โดยใช้ขนาดของเท้าเป็นเกณฑ์ หมายความว่าหญิงสาวที่เท้ายิ่งเล็ก ก็ยิ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นคนสวย และยิ่งเป็นที่สนใจของเพศตรงข้ามมากขึ้นเท่านั้น
ชาวจีนในยุคนี้ กล่าวกันว่า สิ่งที่สร้างความอับอายขายหน้าให้แก่ชาวจีนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 5,000 ปี นอกเหนือจากนิสัยติดฝิ่น การไว้ผมเปียของผู้ชายชาวฮั่นเพราะถูกชนชั้นปกครองชาวแมนจูบังคับแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ ประเพณีการรัดเท้า เพื่อให้เท้าเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความเขลาของผู้หญิงเองที่คลั่งไคล้ใหลหลงไปกับการตีค่าความงามบนความเจ็บปวด ที่แลกมากับด้วยเลือดและน้ำตาของตัวเอง กอปรสภาพสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ บีบบังคับให้ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อแห่งการทารุณอย่างเลือดเย็น ด้วยความยินยอมพร้อมใจจากเพศเดียวกันตลอดหลายชั่วอายุคน เบื้องหลัง รองเท้าดอกบัวทองคำ 3 นิ้วที่สวยงามนั้นคือ เรื่องราวชีวิตที่สุดแสนรันทดของผู้หญิงจีนหลายล้านคน
เท้าใหญ่ไม่มีคนเอา รัดเท้าทีก็พันปี
เหอจื้อหัว นักสะสมวัตถุโบราณที่มีชื่อเสียงของจีน หยิบรองเท้าคู่หนึ่งขนาดยังเล็กกว่าฝ่ามือขึ้นมากล่าวว่า การรัดเท้าก็คือการใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมมารัดเท้าทั้งคู่ไว้จนรูปร่างเท้าตามธรรมชาติเปลี่ยนไปจนมีลักษณะเฉพาะ รองเท้าคู่หนึ่งของผู้หญิงนั้นแลกมาด้วยเลือดและน้ำตา จากการสืบค้นของนักประวัติศาสตร์ ประเพณีการรัดเท้าของผู้หญิงจีน เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยจักรพรรดิหลี่อี้ว์หรือหลี่โฮ่วจู่ ในยุค 5 ราชวงศ์ หลังจากการสิ้นสุดของราชวงศ์ถัง คือระหว่าง ค.ศ. 923-936 ” ตามสมมติฐานที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย กล่าวว่า นางกำนัลคนหนึ่งของจักรพรรดิหลี่อี้ว์ ชื่อ เหย่าเหนียง ต้องการทำให้จักรพรรดิพอพระทัย จึงใช้ผ้าที่ทำจากแพรไหมสวยงามรัดที่เท้าจนเรียวเล็กราวพระจันทร์เสี้ยว ขณะที่วาดลีลาการร่ายรำต่อหน้าพระพักตร์ จักรพรรดิหลี่อี้ว์ทรงพอพระทัยการแสดงครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาเหย่าเหนียงได้สั่งให้ทำรองเท้าที่ประดับประดาด้วยไข่มุกอัญมณีนานาๆชนิดอย่างสวยงาม แล้วให้นางสนมกำนัลสวมใส่หลังจากที่รัดเท้าแล้ว ท่วงท่าที่อ่อนช้อยบนรองเท้าคู่จิ๋ว เป็นที่พอพระทัยของจักรพรรดิยิ่งนัก นับแต่นั้นมา แฟชั่นการัดเท้าในหมู่นางวังในก็เริ่มขึ้น แล้วค่อยๆขยายวงออกไปยังหมู่ลูกสาวของเหล่าขุนนางในสังคมชั้นสูง เมื่อมาถึงในสมัยหมิง ( ค.ศ. 1368 –1644 ) ความคลั่งไคล้การรัดเท้าได้แผ่กว้างไปในหมู่หญิงสาวสามัญชนทั่วประเทศ
ในสมัยจักรพรรดิคังซี ( ค.ศ. 1662-1721 ) แห่งราชวงศ์ชิง แฟชั่นการรัดเท้าดำเนินถึงจุดสูงสุด โดยเฉพาะในมณฑลซันซี เหอเป่ย ปักกิ่ง เทียนจิน ซันตง เหอหนัน ส่านซี กันซู่ แต่ชนเผ่าแมนจูไม่มีประเพณีให้ลูกสาวรัดเท้าอย่างชนชาวฮั่น ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อจักรพรรดิคังซีขึ้นครองราชบัลลังก์ได้ 3 ปี ทรงมีพระราชโองการให้เลิกประเพณีดังกล่าวเสีย โดยจะลงโทษพ่อแม่ของผู้ที่ฝ่าฝืน
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของจักรพรรดิแมนจู ไม่ได้สร้างความหวั่นเกรงในหมู่ประชาชนเลยแม้แต่น้อยประเพณีที่ดำเนินมาหลายร้อยปี ยังคงฝังแน่นอยู่ในระบบคิดของคนในสังคมอย่างยากที่จะเปลี่ยนแปลง ในที่สุดราชสำนักก็ต้องยกเลิกกฎข้อบังคับนี้ไป หลังจากประกาศใช้ได้เพียง 4 ปี
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เด็กสาวลูกหลานชาวแมนจูก็เริ่มฮิตรัดเท้าตามหญิงสาวชาวฮั่นบ้าง จักรพรรดดิซุ่นจื้อ ( ค.ศ. 1644-1661) ได้มีพระราชโองการ ห้ามแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดิม จนถึงสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลง ( ค.ศ. 1736-1795) ก็ได้ทรงออกคำสั่งห้ามหลายครั้งไม่ให้รัดเท้า ความคลั่งไคล้ในแฟชั่นรัดเท้าจึงค่อยลดลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังมีการลักลอบทำกันอยู่ สาวๆแมนจูที่เดิมใส่รองเท้าไม้ก็สู้อุตสาห์ออกแบบรองเท้าไม้มีส้นตรงกลาง แต่มีหน้าตาภายนอกเหมือนรองเท้าดอกบัวทองคำ สำหรับหญิงสาวชาวฮั่นแล้ว ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พวกคลั่งไคล้แฟชั่นรัดเท้าต่างได้ใจว่า แม้แต่จักรพรรดิก็ยังไม่สามารถขัดขวางพวกตนได้ ถึงขนาดร่ำลือกันไปว่าการรัดเท้าเป็นสัญลักษณ์แห่งการไม่ยอมศิโรราบต่อผู้ปกครองแมนจูของผู้หญิงฮั่น

เพราะเหตุใดจึงต้องรัดเท้า
เพราะเท้าเล็กดุจดอกบัวทองคำ ยาวแค่ 3 นิ้ว เป็นมาตรฐานที่สังคมจีนเมื่อร้อยหลายปีมาแล้วประกาศว่า นั่นคือความสวยงามของผู้หญิง ผู้หญิงซึ่งไม่มีแม้แต่สิทธิในความเป็นมนุษย์ มีสิทธิเป็นได้แค่ ของเล่นที่คอยรองรับอารมณ์ของผู้ชาย การกดขี่ทางเพศเป็นเรื่องปกติของสังคม
และเพื่อสนองความรู้สึกกระสันของผู้ชายเมื่อได้เห็นเท้าเล็กจิ๋วที่เล็ดลอดชายกระโปรงยาวมิดชิด พร้อมกับจินตนาทางเพศอันบรรเจิดทุกครั้งที่เห็นสะโพกขยับขึ้นลงในขณะเดิน อันเป็นผลจากลักษณะของฝ่าเท้าที่ไม่เสมอกัน เช่นเดียวกับท่าเดินของผู้หญิงสมัยนี้เวลาที่ใส่รองเท้าส้นสูง หญิงสาวนับไม่ถ้วนยอมทำร้ายเท้าที่สวยงามตามธรรมชาติของตัวเอง
แม่ที่ " มองการณ์ไกล" ยอมทำร้ายลูกสาวที่ยังไม่ประสีประสาของตน เพราะกลัวว่าเมื่อโตขึ้น จะไม่มีผู้ชายมาสู่ขอหรืออาจถูกดูหมิ่นจากคนทั่วไปว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำ แม้จะรู้ซึ้งดีว่าจากนี้ไปทุกคืนวันลูกสาวตัวน้อยๆต้องเจ็บปวดทรมานเหมือนถูกเข็มหลายพันเล่มทิ่มแทงอย่างที่ตนเคยผ่านมาก็ตาม

ทำไมต้องเป็น ดอกบัวทองคำ 3 นิ้ว
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า หลังจากที่พุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่ประเทศจีนและเป็นที่ยอมรับนับถืออย่างแพร่หลาย กรปอกับอิทธิพลของพุทธศิลปะที่นิยมวาดรูปพระโพธิสัตว์ภาคเจ้าแม่กวนอิมยืนบนดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความดีงาม สะอาด บริสุทธิ์ มีคุณค่า และเป็นมงคล ดอกบัวจึงถูกนำมาใช้เรียกเท้าเล็กจิ๋วของหญิงสาวราวกับเป็นสิ่งดีงาม เพราะผู้หญิงที่ดีต้องอ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเอง ต้องพึ่งพาและเชื่อฟังของพ่อ สามีหรือลูกชาย เป็นกรอบความคิดที่สังคมผู้ชายเป็นใหญ่วาง กับดักไว้
นอกจากนี้ สิ่งที่มีค่าสูงส่งมักจะได้รับการเปรียบเปรยว่ามีค่าดุจดั่งทอง ในยุคสมัยนั้น ผู้คนต่างชื่นชมยินดีกับการมีเท้าเล็กจิ๋วกับรองเท้าดอกบัวทองคำคู่จิ๋ว แม้แต่ในยามที่เสพสังวาสกัน สตรีก็ไม่ยอมถอดรองเท้าดอกบัวทองคำที่หวงแหนราวกับเป็นเครื่องประดับล้ำค่าของนาง
ในปลายสมัยชิง ทุกปีในวันที่ 6 เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติ ที่เมืองต้าถง มณฑลซันซี จะมี งานประกวดเท้าสวยโดยหญิงสาวจะแข่งกันอวดเท้าเล็กจิ๋วของตนให้คนที่เดินผ่านไปมา ชื่นชมและตัดสิน โดยดูจากขนาดของเท้าและความสวยงามของรองเท้า ที่มีลวดลายประณีตงดงาม ซึ่งเกิดจากฝีมือการเย็บปักถักร้อยของหญิงสาว แสดงให้เห็นว่าเท้าที่ถูกรัดจนพิกลพิการกับรองท้าคู่จิ๋ว ได้รับการเทิดทูนเพียงใดในสังคมศักดินายุคนั้น
ผู้หญิงสมัยนั้นบ้าคลั่งประเพณีการรัดเท้ามากถึงขั้นตั้งเกณฑ์ว่า หากเท้าผู้ใดยาวไม่เกิน 3 นิ้วจะเรียกว่าเป็น เท้าดอกบัวทองคำถ้ายาวกว่า 3 นิ้วแต่ไม่เกณฑ์ 4 นิ้วให้เรียกว่า เท้าดอกบัวเงินหากยาวกว่า 4 นิ้วก็จะถูกลดชั้นเป็น ดอกบัวเหล็ก



โจวกุ้ยเจิน แม่เฒ่าวัย 86 เจ้าของเท้าดอกบัวทองคำ ซึ่งมิเคยย่างกรายออกไปเกินกว่ากำแพงดินของหมู่บ้านหลิวอี้ว์ มณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) กระทั่งเมื่อเธอเริ่มเต้นรำประกอบแผ่นเสียง เธอจึงเริ่มมีโอกาสได้ออกไปยลโฉมโลกภายนอก ที่จำต้องอุดอู้อยู่ในหมู่บ้านนั้น มิใช่ว่าเธอมิอยากออกไปท่องโลกกว้าง ทว่า ความเชื่อคร่ำครึในสังคมจีนที่ ขนาดเท้าเป็นมาตรฐานตัดสินคุณค่าของผู้หญิง ยิ่งเล็กยิ่งงามทำให้แม่เฒ่าโจวถูกจับมัดเท้าแต่เด็ก จนเท้าของเธอมีรูปร่างผิดแผกจากมนุษย์ทั่วไป ด้วยมีขนาดเท่าซองบุหรี่ ส่วนกระดูกเท้านั้นเล่า ก็งองุ้มผิดธรรมชาติ
     
     
มาตรความสวยงาม ที่สังคมชายเป็นใหญ่ตั้งขึ้น เพื่อสนองตัณหาของตนนั้น กลับเป็นเครื่องพันธนาการสตรี ซึ่งถูกจองจำให้อยู่เหย้าเฝ้าเรือน ด้วยเท้าทั้งสองข้างของเธอถูกมัดตรึง จำกัดการเติบโตให้อยู่ในรองเท้าดอกบัวทองคำขนาดเล็กเพียงไม่กี่นิ้ว พอๆกับอิสรภาพของเธอที่ถูกรัดตรึงโดยสภาพสังคมที่กำหนดให้สตรีเป็นเพียงวัตถุสนองตัณหาความใคร่ของชาย
     
     
ทว่าอย่างน้อย พวกเธอก็ยังพอมีทางหาความสำราญเพียงน้อยนิดในบางโอกาส ในสมัยก่อนพวกเราฟังเพลง ที่วัยรุ่นสมัยนั้นนิยม แล้วก็เต้นรำไปตามท่วงทำนองที่ได้ยิน ซึ่งเป็นเรื่องที่สนุกมาก พวกเรามีโอกาสได้ไปแสดงที่คุนหมิง รวมทั้งได้รับเชิญไปยังปักกิ่ง และโตเกียว ถึงแม้ที่สุดแล้ว ฉันจะพลาดโอกาสงาม ด้วยมีปัญหาสุขภาพแม่เฒ่าโจวกล่าว ขณะแกว่งเท้าขนาด 5 นิ้วของเธอไปมา พร้อมกับอวดรูปเธอกับเพื่อนคณะนักแสดงทุกคน ซึ่งถูกมัดเท้าจนเรียวเล็กเช่นเดียวกับเธอ
     
     
เมื่อแม่เฒ่า กับเพื่อนนักแสดงเริ่ม เต้นรำประกอบเพลงเมื่อเกือบ 25 ปีที่แล้ว ในขณะนั้น เป็นยุคทศวรรษที่ 1980 ที่จีนเพิ่งฟื้นตัวจากกระแสปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ.1969-1976) ซึ่งเป็นช่วงที่กระแสซ้ายจัดครอบงำจีนอย่างรุนแรง อะไรก็ตามที่เป็นตะวันตก หรือเป็นวัฒนธรรมของชนชั้นสูงเป็นสิ่งนอกรีต และจะต้องถูกกำจัด
     
     
ในยุคที่พวกเธอเริ่มสนุกสนานกับการเต้นรำนั้น มรดกตกค้างจากการปฏิวัติฯยังคงอยู่ พวกเธอถูกมองว่าเป็นพวกนอกคอก เป็นคนแปลกในสายตาของสังคม
     
     
หยังหยัง นักเขียนวัย 43 ซึ่งเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศหมู่บ้านหลิวอี้ว์ รำลึกถึงช่วงเวลานั้นว่า ฉันและเพื่อนๆต้องแอบรวมกลุ่มเต้นรำตามเสียงเพลงเพราะกระแสตกค้างจากการปฏิวัติยังคงอยู่ หยังกลับมายังหมู่บ้านเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของโจว และหญิงมัดเท้ารายอื่นๆกว่า 300 ชีวิต ซึ่งหยังประทับใจเรื่องราวของพวกเธอหลังได้ยินว่า แม่เฒ่าทั้งหลายต่างแอบเต้นรำประกอบเพลง ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นสมัยหยัง
     
      “
คุณอาจจะเชื่อว่า สาวจากยุคประเพณีเก่าแก่เหล่านี้ ต้องต่อต้านการเต้นรำและเพลงสมัยใหม่ ทว่า น่าตกใจที่ พวกเธอกลับยอมรับสิ่งเหล่านี้อย่างเต็มใจ...ที่จริงบรรดาสาวๆที่ถูกพันธนาการอยู่ในกรอบจารีตประเพณี กลับเต้นได้ดีกว่าเราเสียอีกหยังกล่าว
     
     
แม่เฒ่าโจว เอื้อนเอ่ยเรื่องราวของชีวิตห้วง 3 แผ่นดินของเธอว่า ก่อนประธานเหมาสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ.1949 นั้น ชีวิตของพวกเธอแสนจะสุขสบาย ด้วยสังคมยังคงมีกระแสนิยมความงาม โดยวัดจากขนาดของเท้า ยิ่งเท้าเล็กเท่าไหร่ยิ่งหมายถึง โอกาสที่มากขึ้นเท่านั้น เท้าดอกบัวทองคำของแม่เฒ่าโจว ทำให้เธอได้มีโอกาสแต่งงานกับชายหนุ่มรูปหล่อ ฐานะดี ซึ่งชีวิตสมรสของเธอก็ดำเนินไปอย่างสุขสม แม้จะต้องแต่งงานถึง 2 ครั้ง
     
     
กระทั่งยุคปฏิวัติจีนใหม่ของพรรคค้อนเคียว ที่พิชิตชัยชนะในปี ค.ศ. 1949 นั้น ชะตาของแม่เฒ่าก็ถึงจุดพลิกผัน เมื่อบ้านของเธอถูกยึด พ่อแม่สามีคนที่ 2 ถูกทุบตีจนตาย เนื่องจาก ครองทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับสังคมคอมมิวนิสต์ โจวถูกริบทรัพย์สิน จนเธอจำต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรม ทำงานหนักในคอมมูน ทั้งที่เท้าทั้งสองข้างก็มิอำนวยให้เธอใช้แรงงงาน
---------------
ตอนนี้ ยังมีธรรมเนียมรัดเท้าอยู่

ภาพเอ็กซ์เรย์





วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

10วิธีแก้อกหัก

1)ระบายออกมาเป็นตัวหนังสือให้หมด 
แฟนเก่าทำอะไรให้เราช้ำใจ เขียนออกมาให้หมดเลย เพราะในเมื่อไม่มีใครอยากฟังเรื่องอกหักจากปากของเรา ก็เขียนไปเลย และทำให้เรารู้สึกระบายออกมา คิดซะว่า นี่เป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ที่ต้องแก้ เพื่อเจอคนที่ดีกว่าเดิม หรือไม่ก็ เขียนเสร็จแล้วเผาๆไปเลย
2)เปลี่ยน Look ใหม่ของเราให้เจ๋งกว่าเดิม
ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้วครับ ว่าจะทุ่มเทมากแค่ไหน ก็ตั้งใจเรียน ออกกำลังกาย ทำตัวเองให้เจ๋ง เล่นดนตรี ทำงาน Part Time ตั้งอนาคตที่ดี เหมือนกับว่า"ในเมื่อแฟนเก่าไม่รักเราใช่มั้ย เราก็ทำให้สุดๆ สวยได้สวยไป เจอเราหน่อยดีมั้ย" ไม่ควรสร้างกระแสแย่ๆ เพราะทำให้ตัวเราต่ำลง เป็นที่น่าสนใจในทางลบ 
3)อะไรที่เกี่ยวกับแฟนเก่า ลบออกไปให้หมด
ถ้ายังเห็น จะจำได้อยู่ และมีอารมณ์อาลัยอาวรณ์ ไม่อยากลืม เราต้องเด็ดขาดกับมัน!!! ในเมื่อเราไม่รักกันแล้ว ต่อให้ง้อยังไง ก็ไม่รักกันอยู่ดี หาใหม่ดีกว่า อย่างรูปแฟน ของขวัญที่แฟนให้ เผาๆไปให้หมดเลยครับ และ Facebook แฟนเก่า ก็บล็อกๆไปเลย อย่าได้แคร์ ตอนแรกยังไม่ลืม แต่ผ่านไปปีๆ ก็จะลืมเอง เชื่อผมครับ
4)วางแผนอนาคต
เรื่องคนรักเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องหน้าที่การงาน และชีวิตกลับสำคัญยิ่งกว่า คนเราถ้ารวย มีแต่คนมาหา แต่อย่าลืมว่า ถ้ารวยแล้ว คนส่วนใหญ่ที่มา มักจะไม่รักเราจริง แต่กลับรักเงินที่มีอยู่ของเรา!!
5)มองโลกในแง่บวกซะ(คิดซะว่า เราเป็นผู้มอบความสุขกับทุกๆคน)
การมองโลกในแง่บวก มีแต่ทำให้จิตใจเราสูงขึ้น คิดว่า เราอกหัก ยังดีกว่ารักไม่เป็น หาใหม่ได้ ผู้ชาย(หญิง) ไม่ได้มีคนเดียวในโลก รวมไปถึง จะทำยังไงให้คนใกล้ตัวมีความสุข เมื่อเรามีความสุขในตัวเอง คนอื่นก็จะมีความสุขด้วย แต่ถ้าเรามีความทุกข์ คนอื่นก็จะมีความทุกข์้ด้วย
ความสุขจะหามาจากไหน? จริงๆ ความสุขอยู่ที่ใจเราเองครับ เราลองให้หัวใจมองว่า อะไรนอกเหนือจากแฟนแล้วมีความสุข อย่างผม ผมมีความสุขที่เล่นกีตาร์ วาดรูป พิมพ์บล็อก คุยกับเพื่อนๆ ทุกๆครั้งที่ทำ พยายามคิดในแง่บวกเอาไว้ เพราะการคิดในแง่บวก ทำให้เรามีความสุข และอายุยืนยาวอีกด้วยนะ
ลองสังเกตพวกตลกที่ได้แฟนสวยๆสิ หน้าตาตลกก็ขี้เหร่ แต่ทำไมถึงมีได้ ก็เพราะพวกตลก มีแต่"ความสุข" "ความสุข" และก็"ความสุข"
6)ยิ้มให้ทุกๆคนที่เดินผ่าน 
 การยิ้ม ทำให้
1. มีเสน่ห์
หลายคนที่ไม่ได้หล่อไม่ได้สวย แต่ทุกครั้งที่ยิ้ม ก็เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสว่างไสวไปกับรอยยิ้มของเขา หลายคนไม่รู้ตัวหรอกว่า ตัวเองยิ้มสวยแค่ไหน ต้องลองยิ้มกับกระจกและสำรวจดูบ้าง

2. มีมิตรมากกว่าศัตรู

รอยยิ้มที่จริงใจและถูกกาลเทศะ จะสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรู ว่ากันว่า รอยยิ้มคือเครื่องมือกะเทาะกำแพงน้ำแข็ง หรือความเย็นชาแปลกหน้าที่ผู้คนมีต่อกันได้เป็นอย่างดี ใครจะรู้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ส่งให้กันในวันนี้ อาจนำพาเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตมาให้เราก็ได้

3. มีความสดชื่น

รอยยิ้มเป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ที่สดชื่น เหมือนกับความสดชื่นนั้นคือต้นไม้ และรอยยิ้มก็คือดอกไม้ อารมณ์และสภาพจิตของคนเรา ปลูกต้นอะไรไว้ก็ย่อมจะออกดอกเป็นสิ่งนั้น

4. มีกำลัง

หลายคนบอกว่า เมื่อเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ หรือความยากลำบาก ให้ยิ้มเข้าไว้ จะทำให้มีเรี่ยวแรงกำลังที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะว่ารอยยิ้ม คือกำลังของชีวิตอย่างหนึ่ง

5. มีมุมมองที่ดี
คนที่มีอุปนิสัยยิ้มแย้ม จะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี แม้ในเวลาที่มีปัญหา ก็จะยิ้มสู้ และพลิกปัญหาหรืออุปสรรคเหล่านั้นให้กลายเป็นโอกาสขึ้นมาได้
แนะนำยิ้มกับเพศตรงข้ามที่เดินผ่านตัวเราครับ(ถ้ายิ้มให้เพศเดียวกันจะหาว่ารักไม้ป่าเดียวกัน ยกเว้นเพื่อนๆที่รู้จักกันแล้ว) ไม่ว่าจะรถเมล์ เดินห้าง ฯลฯ การยิ้ม ถ้าเรายิ้มให้คนแปลกหน้า คนแปลกหน้าคนนั้น จะคิดว่าเรามีมนุษยสัมพันธ์ดี น่าคบเป็นเพื่อน(แฟน) และรู้จักกันง่ายขึ้น บางที เค้าไม่ยิ้มกลับ อย่าไปเสียใจครับ เพราะทุกๆคนที่เรายิ้มให้ มีความสุขหมด แต่ไม่แสดงออกให้เห็น ทุกๆคนชอบยิ้มให้กันครับ อย่างรูปโปรไฟล์ใน Hi5 หรือ Facebook คนที่ยิ้มให้กล้อง มักจะมีแต่คนเข้ามาคุยด้วย ถ้าสมัยก่อน พวกทำตาแอ๊บแบ๊ว มีแต่คนคบหา แต่ตอนนี้ คนยิ้มเก่ง มีแต่คนเข้าหาครับ ทั้งโลกไซเบอร์และโลกแห่งความเป็นจริง พยายามยิ้มบ่อยๆ ถ้าไม่เคยยิ้มเลย ก็ฝึกยิ้มผ่านกระจกเงาก่อนก็ได้ ถ้าดูดีแล้วยิ้มให้คนอื่นเรื่อยๆ
บางคนคิดว่าทำแบบนี้เหมือนคนบ้าครับ จริงๆไม่ใช่เลย ถ้ายิ้มทุกสิ้งทกอย่าง ไม่ว่าเสาไฟ ตู้ไปรษณีย์ กองอึหมา นี่แหละ บ้าขนานแท้
7) เลิกฟังเพลงแนวความรัก
ทั้งรักสมหวัง และผิดหวัง ถ้าเป็นไปได้ เลิกฟังเถอะครับ ฟังแล้ว เอาไปรักใครเค้าไม่ได้หรอก เนื้อหาของเพลงมีเรื่องเดียวอ่ะ ผู้หญิงเจอแฟนตัวเองควงผู้หญิงคนใหม่ และนั่งเสียใจ หรือผู้ชายเจอแฟนสาวไปควงผู้ชายคนอื่นที่ดีกว่าเรา มันมีแต่นี้จริงๆครับ
8) ห้ามดื่มสุราเป็นขวดๆเพื่อแก้ช้ำรัก
 สุรา นอกจากเราเป็นลำยองแล้ว ยังทำให้สมรรถภาพในการขับขี่ลดลง,ผิดศิลข้อ 5 และที่สำคัญ ทำให้เซ็กซ์เสี่อมได้ ยิ่งกิน ยิ่งเซ็กซ์เสื่อม คุ้มมั้ยเนี่ย แต่ถ้ากินแบบจิบไปเรื่อยๆ และคุย จะช่วยผ่อนคลายครับ

9) เรื่องรักครั้งเก่า อย่าเล่าให้แฟนใหม่ฟังหรือเพื่อนฟัง นอกจากอยากจะรู้จริงๆ
ยิ่งเล่าเหมือนยิ่งซ้ำเติมครับ อย่าเล่าเลย นอกจากเค้าอยากรู้จริงๆ เรามีอนาคตที่ดีกว่าอยู่แล้ว อย่าไปเสียเวลากับเรื่องก่อมะเร็งเลย แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ไม่ต้องเล่าแบบใส่อารมณ์มาก
10)สุดท้าย......ไม่มีใครอยากฟังเรื่องอกหักของทุกๆคน
เพราะมันเป็นเรื่องทุกข์ครับ  ไม่มีใครชอบความทุกข์หรอก(เว้นแต่พวกไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง จมปลักอยู่กับความทุกช์) เราต้องมีความสุขจากตัวเอง

วันวาเลนไทน์ ประวัติวันวาเลนไทน์

วันวาเลนไทน์ ประวัติวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก Valentine's Day เรามีประวัติวันวาเลนไทน์ สัญลักษณ์วันวาเลนไทน์ ธรรมเนียมถือปฏิบัติวันวาเลนไทน์ มาฝาก           วันวาเลนไทน์คงเป็นวันที่ใครหลาย ๆ คนรอคอย... โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ตื่นขึ้นมา พร้อมรอยยิ้ม เพื่อเตรียมของขวัญ คำหวาน และข้อความพิเศษ ๆ มอบให้กับคนรักอย่างแน่นอน..  และในโอกาสวาเลนไทน์วันแห่งความรักวันนี้ กระปุกดอทคอมก็ไม่พลาดหยิบยกเรื่องราวของวันวาเลนไทน์มาฝากกันอีกเช่นเคย มาดูกันซิว่า วันวาเลนไทน์เกิดขึ้นได้อย่างไร และชาวตะวันตกทำอะไรกันบ้างในวันสำคัญสำหรับชาวคริสต์วันนี้
           สำหรับประวัติวันวาเลนไทน์นั้น หลาย ๆ คนคงสงสัยว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เหตุเป็นเพราะวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้น เป็นวันเสียชีวิตของนักบุญวาเลนไทน์ หรือเซนต์วาเลนไทน์ นักบุญแห่งความรักนั่นเอง นักบุญวาเลนไทน์ เป็นผู้ริเริ่มการจัดงานแต่งงานในยุคที่ไม่นิยมให้แต่งงานกัน เหตุเพราะในช่วงนั้น โรม ต้องประสบกับสงคราม จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ต้องการเกณฑ์คนไปรบ แต่มีบุคคลจำนวนมากที่มีครอบครัว มีภรรยา มีคนรัก ต่างไม่อยากจะทิ้งครอบครัวไป ทำให้ จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ตัดสินใจให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคนั้นไปหมด อย่างสิ้นเชิง

           แต่นักบุญวาเลนไทน์กลับสวนกระแสของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ชักชวนคู่รักมาแต่งงานหลายต่อหลายคู่ จนโดนจับตัวไปขังเอาไว้ และในคุกที่คุมขังนักบุญวาเลนไทน์นั้น เขาได้พบรักกับสาวตาบอดนางหนึ่ง เมื่อโดนจับได้ นักบุญวาเลนไทน์จึงถูกนำตัวไปประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็น วันวาเลนไทน์ วันที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบุญผู้อุทิศตนให้ความรักนั่นเอง




สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์

          สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน ร่างกายเป็นเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า เป็นบุตรของมาร์ (เทพเจ้าของสงคราม) และ วีนัส (เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม) 
          ตำนานความรักของ เทพเจ้าคิวปิด นั้น ในอดีต เทพเจ้าวีนัสอิจฉา "ไซกี" ธิดาวัยกำลังแรกรุ่นของกษัตริย์องค์หนึ่ง ที่สำคัญคือไซกีสวยกว่าเทพเจ้าวีนัสมาก นางเลยส่งเทพเจ้าคิวปิดไปหาไซกี เพื่อบันดาลให้ไซกีมีความรักกับบุรุษเพศ แต่เทพเจ้าคิวปิดกลับหลงรักไซกีและพามาที่วัง และลอบมาหาในเวลากลางคืนเพื่อไม่ให้ไซกีรู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่มีคนยุให้ไซกีแอบดูตอนเทพเจ้าคิวปิดนอนหลับ แต่ด้วยความตื่นเต้นของไซกีที่เห็นเทพเจ้าคิวปิดเป็นหนุ่มรูปงาม เลยเผลอทำน้ำมันตะเกียงหกใส่เทพเจ้าคิวปิด เมื่อเทพเจ้าคิวปิดรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็โกรธมากที่นางขัดคำสั่ง จึงทิ้งนางไป

          เมื่อโดนทิ้ง ไซกีก็ออกตามหาเทพเจ้าคิวปิด ซึ่งตลอดเวลาไซกีถูกเทพเจ้าวีนัสกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา จนเทพเจ้าคิวปิดเห็นใจต้องเข้ามาช่วย เทพเจ้าจูปิเตอร์เห็นใจ จึงช่วยให้ทั้งสองได้ครองรักกัน

 ธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันในวันวาเลนไทน์

           หลายร้อยปีก่อนในประเทศอังกฤษ เด็ก ๆ จะแต่งตัวลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ในวันวาเลนไทน์ แล้วร้องเพลงจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ในเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจะกล่าวว่า " Good morning to you, Valentine ; Curl your locks as I do mine --- Two before and three behind. Good morning to you, Valentine."

           ในประเทศเวลส์ ผู้ที่มีความรักและชื่นชมในงานช้อนไม้แกะสลัก จะทำการแกะสลักช้อนและมอบให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ โดยจะสลักรูปหัวใจ และลูกกุญแจไว้บนช้อนนั้น ซึ่งมีความหมายว่า "คุณได้ไขหัวใจของฉัน" (You unlock my heart)

           เด็กหนุ่มสาวจะทำการเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบ แล้วหย่อนไว้ในอ่างหรือชาม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อ เพื่อดูว่าใครจะเป็นคู่ของตัวเองในวันวาเลนไทน์ หลังจากนั้นก็จะเอาชื่อที่หยิบได้นี้มาติดไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่ง สัปดาห์ การทำเช่นนี้มีความหมายว่า คนๆ นั้นต้องการบอกคนทั่วไปรู้ได้ง่าย ๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร

           ในบางประเทศ ผู้หญิงจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากผู้ชาย แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้นั่นหมายถึงหล่อนจะแต่งงานกับเขา

           บางคนมีความเชื่อว่า ถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบินบินผ่านเหนือศรีษะตนเองในวันวาเลนไทน์ นั่นหมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ หรือถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกกระจอก หล่อนก็จะได้แต่งงานกับชายยากจนและจะมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนก Goldfinch หมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี

           ในบางประเทศจะมีการทำเก้าอี้แห่งรักขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดกว้าง ในครั้งแรกที่มีการทำเก้าอี้นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดราตรีนั่ง ต่อมาเก้าอี้แห่งรักนี้ได้ทำขึ้นเป็นสองส่วนและมักจะทำเป็นรูปตัวเอส (S) ซึ่งการทำเก้าอี้ทรงนี้จะทำให้คู่รักสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่จะไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป

           บางธรรมเนียมในบางแห่งของโลก เด็กหนุ่มสาวจะนึกถึงชื่อของคนที่ตัวเองอยากจะแต่งงานด้วยประมาณห้าถึงหกชื่อ ในขณะที่ปอกเปลือกผลแอปเปิ้ลนั้นให้เป็นขดนั้น ก็ให้เอ่ยชื่อของคนที่นึกถึงออกมาจนกว่าจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้หมดผล และเชื่อกันว่า คนที่จะได้แต่งงานด้วยนั้นคือคนที่เอ่ยชื่อถึงในขณะที่ปอกเปลือกของแอปเปิ้ล ได้หมดพอดี

           ในบางประเทศมีความเชื่อว่า ถ้าหากผ่าผลแอปเปิ้ลออกมาเป็นสองซีก แล้วให้นับเมล็ดข้างในดู แล้วก็จะสามารถรู้จำนวนบุตรในอนาคตได้ 

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ

นักท่องเที่ยวทั่วโลก ต่างรู้ดีว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆ ของโลก เมื่อเทียบในแง่ ค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ถูกกว่าเมืองชื่อดังอื่นๆ ทั่วโลก หรือจะเป็นวัฒนธรรม และสถาปัตกรรมที่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเหล่านี้ต้องมาสัมผัส แต่ยังอีกเหตุผลแตกต่างจากนี้อีก ที่ทำให้ กรุงเทพฯ มีอะไรพิเศษมากกว่าเมืองไหนๆ ในโลก โดย cnn.com ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ 50 เหตุผล ความเป็น กรุงเทพฯ ในสายตานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ออกมา แล้วผู้อ่านชาวไทย ก็จะรู้ว่าเหตุผลเหล่านี้ น่าแปลกใจสำหรับพวกเขาอย่างไร?
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ

1. พระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชาสามารถที่สุด
ถึงแม้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงโปรดประทับนอกกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองเสียเป็นส่วนใหญ่ ชาวไทยก็ยังคงเทิดทูนพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนมากว่า 60 ปี พระองค์เสด็จพระราชสมภพ ณ เมืองแคมบริดจ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ทรงเข้ารับการศึกษา ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ตรัสได้หลายภาษา และทรงมีสิทธิบัตรทางด้านการเกษตรกรรมหลายใบด้วยกัน ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพในการสร้างสรรค์ศิลปะด้านดนตรีและการบรรเลงเพลงแจ๊ซ นอกจากนั้นยังทรงต่อเรือใบด้วยพระองค์เอง รวมทั้งทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านการวาดภาพและถ่ายภาพด้วย พระองค์ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกของโลกที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเกียรติยศด้านการพัฒนาของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ และที่สำคัญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชยัง ทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกอีกด้วย

2. พระพุทธรูปที่มีประวัติน่าทึ่งที่สุด
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
ในปี พ.ศ. 2498 ผู้รับเหมาก่อสร้างทำพระพุทธรูปองค์นึงตกจนทำให้ปูนที่เคลือบองค์พระสมัยสุโขทัยหนัก 5,000 กิโลกรัม กระเทาะออกมาเผยให้เห็นว่าใต้นั้นแท้จริงแล้วเป็นทองคำล้วนๆ แต่มีผู้นำปูนมาเคลือบองค์พระพุทธรูปเอาไว้เพื่อเป็นการตบตาชาวพม่าที่เข้ามารุกรานอาณาจักรไทย วัดแห่งนี้มีชื่อว่า วัดไตรมิตรวิทยาราม ที่เพิ่งได้รับการปฏิสังขรณ์จนแล้วเสร็จเมื่อไม่นานมานี้

เลขที่ 661 ถ. ไตรมิตร ตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ ใกล้ๆ สถานีรถไฟหัวลำโพง โทรศัพท์ 02-5099091 begin_of_the_skype_highlighting 02-5099091 FREE end_of_the_skype_highlighting


3. เมืองของแท้และดั้งเดิมต้องชื่อยาว
ถึงคนไทยจะเรียกว่ากรุงเทพฯ แต่ชื่อเต็มๆ ของกรุงเทพฯ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีทรงตั้งให้ คือ กรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลก ภพนพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ ถ้าต้องเขียนเต็มๆ มีหวังมือหงิกกันไปข้างหนึ่งล่ะ

4. พระบรมมหาราชวังที่หรูหราที่สุด
บนพื้นที่กว้าง 152 ไร่ของพระบรมมหาราชวัง นั้นเต็มไปด้วยฉัตรและกำแพงปิดทองกับภาพวาดอันวิจิตรบรรจง รวมทั้งรูปแกะสลักและรูปหล่อโลหะที่ละเอียดลออ ในสมัยก่อนนั้น พระบรมมหาราชวัง เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไทย แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ ไปแล้ว ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปอย่าลืมเดินชมจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลกเรื่อง รามเกียรติ์ บนกำแพงคดรอบอุโบสถให้ได้นะ

5. รถเข็นขายอาหารเปิบพิศดารสารพัดชนิด
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
นับวันกิตติศัพท์ของรถเข็นขายอาหารข้างถนนในกรุงเทพฯ ก็ยิ่งแหวกแนวขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ลิ้นเป็ดย่างกับซุปรังนกถือว่าเอ้าท์ไปแล้ว ถ้าคุุณมีโอกาสได้ไปถนนแพร่งภูธรที่อยู่ไม่ไกลจากเสาชิงช้าและเยาวราชนัก อย่าลืมไปชิมเกาเหลาสมองหมูที่อร่อยเหลือเชื่อดู… ถ้าคุณลืมๆ ไปได้นะว่ามันคือเกาเหลาสมองหมู

6. รีบมาดูก่อนที่จะไม่มีให้ดู
เพราะ กรุงเทพฯ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ราบลุ่ม และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่สูงจากระดับน้ำทะเล เพียง 6 ฟุต ดังนั้นเมืองนี้จึงกำลังค่อยๆ จมลงไปในโคลนปีละ 3 นิ้ว ตามข้อสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์ ก็เหมือน สืบ นาคะเสถียรกับเรวัต พุทธินันทน์ไง ถ้าเราไม่อยู่เมื่อไหร่ คุณจะคิดถึงเรา

7. มีนักศึกษาชาวอังกฤษผิวไหม้แดดเต้นรำกลางถนน กับนักธุรกิจสาวชาวแอฟริกันที่ กำลังกรึ่มๆ ได้ที่ มีให้ชม ในขณะที่คุณกำลังเขมือบแซนด์วิชฟาลาเฟลแกล้มเบียร์ลาว
ถนนข้าวสาร ที่มีชื่อ(เสีย) ยังคงครองตำแหน่งเป็นแหล่งนั่งดูคนเพี้ยนทุกเชื้อชาติ อายุ สีผิว อาชีพ ระดับการศึกษา ที่มาพร้อมกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ลองไปนั่งเล่นริมฟุตบาทหน้าบัดดี้บาร์ ตีซี้กับขาร็อคชาวกรุงที่แห่กันมานั่งดื่มหลังเลิกงานดูสิ

8. ร้านขายโปสเตอร์หนังที่เจ๋งที่สุดในเอเชีย
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
ร้านเล็กๆ แห่งนี้เป็นแหล่งรวมโปสเตอร์หนังน่าสะสมทั้งใหม่และเก่าจากฮอลลีวู้ด ถ้าไม่เห็นคุณสันติเจ้าของร้านดูแลลูกค้านักสะสมจากทั่วเอเชียอยู่หน้าร้าน แล้วล่ะก็ แปลว่า เขากำลังท่องอินเตอร์เน็ตตามล่าโปสเตอร์หนังหายากอยู่ เจ๋งโคตร! โปสเตอร์สตาร์วอร์สภาคภาษาไทยของแท้, อะโพคาลิปส์ นาว, และเดอะ เกรท เอสเคพ
เลขที่ 236/6-7 สยามสแควร์ซ. 2 ถ. พระราม 1(ข้างโรงหนังลิโด้)

9. ย่านโคมแดงที่ไม่รู้จะแดงอะไรนักหนา
พัฒน์พงศ์ ก็มีแต่นักท่องเที่ยว ซอยนานาก็ทั้งใหญ่ทั้งวุ่นวาย แต่ว่าซอยคาวบอยนั้น (บีทีเอสอโศก เอ็มอาร์ทีสุขุมวิท) ใหญ่พอที่คุณจะหาความสำราญได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะพลัดหลงกับเพื่อนๆ แสงไฟจากหลอดนีออนส่องสว่างลอยมาแต่ไกล และการชนแก้วกับหนุ่มๆ ที่นี่ อาจจะทำให้ค่ำคืนนั้นของคุณ เป็นคืนที่มีคนจำได้แค่ไม่กี่คนแต่รับรองว่า ไม่มีวันลืมแน่นอน

10. ได้นั่งเล่นกับอาแปะ ดูคนแก่เถียงกัน, จั่วไพ่, สูบบุหรี่, จับนก, สูบบุหรี่, จิบกาแฟ, ขากถุย, แล้วก็สูบบุหรี่
ร้านกาแฟเอี๊ยะแซ บนถนนพาดสายในย่านเยาวราช เปิดกิจการมาแล้ว 60 ปี รสชาติกาแฟก็ไม่ได้กลมกล่อมอะไรหรอก แต่ความเอะอะมะเทิ่งของบรรดาลูกค้าต่างหาก ที่สามารถให้ความบันเทิงคุณได้ หลายต่อหลายชั่วโมง ลองยกแก้วชนกับอาแปะโต๊ะข้างๆ ดู คุณอาจจะได้ฟังเรื่องเล่าสมัยหนุ่มๆ ตั้งแต่แถวนั้นยังฝุ่นตลบและมีรถรางวิ่งขวั่กไขว่ก็เป็นได้

11. เคาน์เตอร์ขายอาหารแสนอร่อยที่ไม่เคยปิด
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
ร้านอาหารถูกและดี ที่อยู่ในฟู้ดแลนด์ สาขาสุขุมวิทซอย 5 เหมาะสำหรับการมานั่งทานมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อถอนตอนตี 4 เป็นที่สุด ข้าวกระเพราไก่ของเขาจะติดตราตรึงลิ้นคุณไปนานพอๆ กับเพื่อนร่วมเคาน์เตอร์ที่นั่งข้างๆ คุณนั่นเลยทีเดียว
เลขที่ 87 ตึกนายเลิศ ซ. 5 ถ. สุขุมวิท โทรศัพท์ 02-254-2179 begin_of_the_skype_highlighting 02-254-2179 FREE end_of_the_skype_highlighting

12. ตลาดนัด ที่มีของขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
อย่าเพิ่งโม้ว่าตัวเองเป็นนักช้อปตัวยง ถ้าคุณยังไม่สามารถเดินซื้อของที่ ตลาดนัดจตุจักร ได้แบบเนียนๆ เพราะมันคือ เขาวงกต ที่เต็มไปด้วยซอกเล็กซอยน้อยบนพื้นที่ 68 ไร่ ที่มีขายทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้ สัตว์เลี้ยงจากทั่วทุกมุมโลก ผลงานศิลปะ หนังสือการ์ตูนเก่า ของเก่า ต้นไม้และเสื้อผ้าจากทุกยุคตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

13. จุดชมพระอาทิตย์ตกดินเหนือมนุษย์ตัวกระจิริด
ภัตตาคารซีร็อคโค่ ที่ตั้งอยู่บนตึกสเตททาวเวอร์สูง 64 ชั้นบนถนนสีลม เปิดให้คุณชมกรุงเทพฯ ได้เกือบ 360 องศา ถ้าช็อคโกแล็ตมาร์ตินี่แก้วละ 400 บาท จากบาร์ที่มีแสงไฟสีพาสเทลเรืองรองยังไม่สะใจล่ะก็ คุณยังสั่งไวน์โรมานีก็องติมาจิบเล่นๆ ได้ในราคาแค่ขวดละ 600,000 บาท แต่สำหรับคนที่กลัวความสูง ขอแนะนำว่าอย่าไปยืนเกาะขอบเป็นดีที่สุด เพราะเลยจากกระจกกั้นสูง 4 ฟุตไปแล้วนั้น คือ อากาศธาตุล้วนๆ เลย
ตึกสเตททาวเวอร์ เลขที่ 1055 ถ. สีลม โทรศัพท์ 02-624-9999 begin_of_the_skype_highlighting 02-624-9999 FREE end_of_the_skype_highlighting

14. พริตตี้ที่นี่ขายได้ทุกอย่าง
ตั้งแต่โปรโมชั่นเบอร์เกอร์คิง ถึงบัตรผ่านประตูงานวัด ยันของแถมในเซเว่นอีเลเว่น บรรดาพริตตี้สาวในชุดรัดติ้วหลากสีจะมายืนประกบให้คุณสนใจของที่เธอเร่ขาย ถ้าคุณ… นี่! สนใจหน่อยสิ ฉันสวยนะ!

15. ชื่อธุรกิจที่เห็นแล้วต้องขำกลิ้ง
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
จริงอยู่ที่ว่าประเทศญี่ปุ่น เป็นตลาดหลักของภาษาอังกฤษวิบัติ แต่เมืองไทยเราแย่งตำแหน่งเขามาหน้าตาเฉย ตัวอย่างมีให้เห็นตั้งแต่ “แฮร์ซาลูน” จนถึง “อิงลาชโปรแกรม” และอีกหลายชื่อที่เราไม่สามารถพิมพ์ออกอากาศบนเวปไซต์ทั่วไปได้ งานนี้ใครอยากบริหารเหงือกต้องใส่ตาสัปปะรดกันเอาเอง

16. สเต็กที่ทานแล้วกระเป๋าแฟ่บไปหลายวัน
ใครๆ ก็ย่างเนื้อวัวชิ้นนึงได้ แต่ถ้าพูดถึงในเอเชียแล้ว มีไม่กี่ร้านที่มีฝีมือเท่าห้องอาหาร นิวยอร์ค สเต็กเฮ้าส์ ที่ตั้งอยู่ในโรงแรมเจดับบลิวแมริอ็อทส์ แน่นอนว่าราคาย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน แต่ถ้าได้ชิมซักครั้งรับรองได้ว่า คราวหน้าที่ทานแม็คโดนัลด์ท้องไส้คุณต้องปั่นป่วนแน่ๆ
เลขที่ 4 ถ. สุขุมวิท ซ. 2 โทรศัพท์ 02-656-7700 begin_of_the_skype_highlighting 02-656-7700 FREE end_of_the_skype_highlighting

17. กรุงเมกกะของนักช้อปกระเป๋าตุง
ทำไมชาวต่างชาติ ถึงต้องถ่อขึ้นเครื่องบินมาซื้อเสื้อเชิ๊ตกุชชี่ของแท้ที่ราคาเท่ากัน หรือไม่ก็แพงกว่าบ้านเขาถึงกรุงเทพฯ เราก็ไม่อาจทราบได้ และมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ว่าไฮโซบ้านเมืองนี้ชอบซื้อของแบรนด์เนมกันอยู่แล้ว ถึงแม้ชั้นล่างสุดของศูนย์การค้าสยามพารากอน (บีทีเอสสยาม) จะมีแต่ร้านอาหารและเด็กวัยแตกพาน แต่อีก 4 ชั้นที่เหลือ เต็มไปด้วยสินค้าราคาแพงระยับ ตั้งแต่รถสปอร์ตลัมบอร์กินี่ไปจนถึงเครื่องเสียงยี่ห้อแม็คอินทอชเลย

18. พนักงานต้อนรับแสนขยัน (ไปมั้ย) ในห้องน้ำ
คุณผู้ชายที่ไปเข้าห้องน้ำ ในสถานที่เที่ยวกลางคืนอาจจะเหวอได้ เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแนบแน่นจากมือแข็งแรงคู่นึงบนไหล่ทั้ง 2 ข้าง อย่าเพิ่งหันไปตั้งการ์ดนะ เขาเป็นแค่พนักงานต้อนรับในห้องน้ำ ที่มีหน้าที่เอาผ้าร้อนมาประคบไหล่แล้ว บีบนวดให้คุณแลกกับทิปเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าคิดว่ารับไม่ได้จริงๆ ก็แค่บอกไปว่า “ไม่เอาครับ ขอบคุณ” ก็พอ

19. อาหารตะวันออกกลางอร่อยๆ นอกตะวันออกกลาง
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
กรุงเทพฯ เป็นเบ้าหลอมขนาดใหญ่ของวัฒนธรรมดิบ และสิ่งที่มากับวัฒนธรรม นั้นก็คือ อาหารนั่นเอง ในซอยสุขุมวิท 3/1 (บีทีเอสนานา) มีร้านอาหารตะวันออกกลางที่ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังตั้งเรียงรายรอคุณอยู่
สาวชาวมุสลิม กับแฟชั่นนิสต้าชาวไนจีเรีย เดินปะปนกับคนขายไฟเลเซอร์ และน้ำหอมจากอาหรับ ขนมปังอุ่นๆ ชิ้นเท่าพวงมาลัยรถที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นจากเตาไม้ เหมาะจะฉีกมาตักทานกับฮัมมัส และทาฮินี่ที่เพิ่งทำสดๆ ที่สุดแล้ว.

20. มีวิธีที่คิกขุที่สุดในการสกัดกั้นฮอร์โมนของวัยรุ่น
ลองไปเดินเล่นแถวๆ ที่วัยรุ่นชอบไปกันในวันวาเลนไทน์ดู แล้วคุณจะเห็นว่ามีตำรวจเยอะกว่าปกติ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เพื่อสอดส่องไม่ให้เด็กๆ วัยกลัดมันทำอะไรมากไปกว่าการเดินจูงมือกัน เพราะห้างสรรพสินค้าเตรียมเก้าอี้ไว้ให้พวกเขานั่งจู๋จี๋กันอยู่แล้ว

21. นั่งทานอาหารท่ามกลางวัตถุโบราณ ที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 20
ค่ำคืน ที่ทูบาในซอยเอกมัย นั้นไม่ต่างจากการไปงานปาร์ตี้ห้องใต้หลังคาบ้านคุณยายเลย ที่นี่มีทั้งงานกระจกสีโบราณ สัญลักษณ์ของป๊อปคัลเจอร์ในยุค 50 และเฟอร์นิเจอร์รูปร่างแปลกๆ ที่ช่วยแต่งเติมมุมมืดอับ แต่ละมุมในร้านให้มีเอกลักษณ์ขึ้นมา ข้อดีของที่นี่ก็คือ ของทุกอย่างในร้านมีไว้ขาย
เลขที่ 11-12เอ ซ. เอกมัย 21 สุขุมวิท 63 โทรศัพท์ 02-711-5500 begin_of_the_skype_highlighting 02-711-5500 FREE end_of_the_skype_highlighting

22. ระบบขนส่งมวลชนที่ราคาถูกและน่าตื่นเต้น
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
ถึงแม้จะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ข้อดีของระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ คือ ราคาที่ถูกแสนถูก ค่าโดยสารเรือคลองแสนแสบ 8 บาท ค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยาและรถเมล์ 16 บาท ค่าแท็กซี่มิเตอร์เริ่มต้นที่ 35 บาท ค่ารถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน 40 บาทตลอดสาย (ในปัจจุบันน่าจะขึ้นค่าโดยสารแล้วมั้ง) การต่อราคาค่าโดยสารรถตุ๊กๆ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และการต่อรถนั้นก็ซับซ้อนจนทำให้ผู้เข้าแข่งขัน “ดิ อเมซซิ่งเรซ” ต้องยกธงขาวยอมแพ้มาแล้ว
รถมินิบัสร่วมบริการหรือตีนผี ประจำเยาวราช มักจะออกอาละวาดตามหัวโค้งต่างๆ พร้อมกระเป๋ารถที่โหนประตูรถด้วยมือข้างเดียวให้เสียวเล่น แน่นอนว่ามันไม่ใช่การเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด แต่เราเอาหัวเป็นประกันได้ว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ

23. ปาร์ตี้ที่ย้อนยุคไปอยู่ในปีพ.ศ. 2532
วงที่เล่นประจำที่ร็อคผับ ติดกับสถานีบีทีเอสราชเทวี เขาเล่นเพลงคลาสสิคตั้งแต่ กันส์แอนโรสเซส, วอร์แรนท์, ออสซี่, และไอรอนเมเด้น ได้สะใจโก๋หลังวังจริงๆ ไม่ต้องเขิน…คว้ากางเกงหนังมาใส่ คาดแว่นกันแดดทรงนักบินแล้วเดินชูมือขวาเข้าไปเลย
ตึกฮอลลีวู้ดสตรีท ถ. พญาไท บีทีเอสราชเทวี โทรศัพท์ 02-251-9980 begin_of_the_skype_highlighting 02-251-9980 FREE end_of_the_skype_highlighting

24. เทรนด์ใหม่ล่ามาแรงเกินกว่าสมองจะรับได้
ช่วงวันหยุดตามซอกเล็กซอยน้อยของสยามสแควร์ (บีทีเอสสยาม) จะเต็มไปด้วยวัยรุ่นที่แต่งตัวได้ทันสมัย และแรงจัดเหมือนเพิ่งกระเด็นออกมาจากหนังสือโว้ค เทรนด์ฮิตอาทิตย์นี้ รองเท้าส้นสูงเสียดฟ้า, แว่นตาไร้เลนส์, และผมทรงรังนกที่เห็นแล้วทำให้นึกถึงมาม่าบลูส์ขึ้นมาตะหงิดๆ พวกคุณว่าไง? คันมือคันเท้ามั้ย?

25. นักการเมืองที่แรงได้ใจสุดๆ
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
ไม่มีใครดุดันเท่า ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ เจ้าพ่ออาบอบนวดที่ผันตัวมาเป็นนักการเมืองแล้ว หลังจากโดนอุ้ม เขาก็ขู่ว่าจะแฉรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับส่วยจากเขาต่อหน้านักข่าว ถึงแม้ชูวิทย์จะสอบตกในการลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ถึง 2 สมัยติดกัน เขาก็ยังไม่วายทำให้เหล่าผู้ทรงอิทธิพลต้องปาดเหงื่อ เมื่อโดนขู่ว่าจะเอาเทปลับจากกล้องวงจรปิดมาเปิดเผย นอกจากนี้เราอาจจะได้เห็นป้ายหาเสียงกับหน้าตาขึงขังของเขา

26. สามารถคืนกำไรให้สังคมได้อย่างง่ายๆ
เรามีองค์กรการกุศลดีๆ อยู่ในกรุงเทพฯ หรือไม่ก็มีสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ มากมาย แต่ด้วยอุปสรรคทางด้านภาษาและการจัดการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจึงอาจจะทำให้หายากไปซักหน่อย แต่ไม่เป็นไร เพราะว่านักเขียนบล็อกชาวกรุงนาม ดไวท์ เทอร์เนอร์ ได้ทำการคัดสรรเอาไว้ให้คุณแล้ว

27. ทานอาหารได้โดยไม่ต้องใช้มือ
ถ้าคุณเกิดขี้เกียจ…ขี้เกียจสุดๆ เลยนะ…สาวๆ มือขยันที่ร้าน “โนแฮนด์ส เรสเตอรองต์” (มีหลายร้านในกรุงเทพฯ) จะมาป้อนอาหารให้คุณเอง คุณจะได้เอามือไปทำอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าได้ อย่างเช่น ยกแก้วเบียร์ หรือเล่นเกม PSP ไง
เลขที่ 19 ถ. พระราม 4 สี่พระยา โทรศัพท์ 02-235-5000 begin_of_the_skype_highlighting 02-235-5000 FREE end_of_the_skype_highlighting

28. พบกับอาหารอร่อยๆ ในที่ที่คุณคาดไม่ถึง
ห้างพันธุ์ทิพย์ คือ ตึกทรงโรมันโทรมๆ ที่เป็นแหล่งรวมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกชนิด ที่นี่มีศูนย์อาหารที่อร่อยมากอยู่บนชั้น 3 เราขอแนะนำให้ลองชิมข้าวซอยไก่ (ไก่กับบะหมี่ไข่ในน้ำแกงกะทิรสกลมกล่อม) ที่คนขายเป็นป้าแก่หน้าบึ้งๆ นั่นแหละ
เลขที่ 604/3 ถ. เพชรบุรี บีทีเอสชิดลม โทรศัพท์ 02-250-9008 begin_of_the_skype_highlighting 02-250-9008 FREE end_of_the_skype_highlighting

29. กีฬาที่ผสมผสานกับกายกรรมระดับโลก
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
ถ้าคุณไม่เคยเห็นคนตีลังกาเตะลูกบอลสาน แปลว่าคุณยังไม่เคยดูตะกร้อ อุทยานเบญจสิริ (บีทีเอสพร้อมพงษ์) ในช่วงบ่ายแก่ๆ เป็นสถานที่ที่เหมาะมากในการนั่งชมลีลาเด็ดๆ ถ้ายังนึกไม่ออก ให้ลองจินตนาการภาพเฉินหลงโดนจับมัดมือไพล่หลังเล่นวอลเลย์บอลดู

30. หน้าพิซซ่าที่ทำเอาชาวอิตาเลี่ยนจุกไปเลย
คนไทยสรรหาของมาโรยหน้าพิซซ่าได้เก่งมาก นอกจากปกติที่ทานคู่กับซอสมะเขือเทศแล้ว หน้าพิซซ่ายอดนิยมได้แก่ ปลาหมึก, ข้าวโพด, แกงเขียวหวาน, มายองเนส, บร็อคโคลีและน้ำสลัด ก็แปลกใหม่ดีนะสำหรับนักทาน แต่ถ้าคุณชอบแบบดั้งเดิมล่ะก็ ลองแวะไปที่รอนนี่ส์ นิวยอร์ค พิซซ่าในสุขุมวิทซอย 4 ดู พยายามสั่งพิซซ่าหน้าใหม่ๆ ให้เขาอบกันสดๆ แล้วประสาทรับรสของคุณจะตื่นในทันที

31. ตลาดนัดกลางคืนที่แนวที่สุด
ลืม พัฒน์พงษ์ กับ สวนลุมไนท์ ที่มีแต่เจ้าของร้านหน้ามึน เพราะโดนต่อราคาไปเถอะ มาสัมผัสรสชาติการช้อปปิ้งแบบไทยๆ ที่ ตลาดรัชดาไนท์ ตรงสถานีเอ็มอาร์ทีลาดพร้าว กันดีกว่า ตลาดแห่งนี้มีขายทั้งเครื่องพิมพ์ดีดเก่า รถเวสป้าแต่งใหม่ เสื้อผ้าฮิปๆ และของแต่งห้องเก๋ๆ ที่วางเรียงรายอยู่เบื้องใต้หลอดไฟกลมเหนือศีรษะ ให้คุณได้เลือกซื้อ

32. มีป้านักฟังเพลงที่เท่ห์ที่สุดในโลก
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
ร้านขายซีดีโดเรมี ที่ตั้งอยู่มุมในสุดของสยามสแควร์ซอย 11 เป็นของคุณป้าที่มีหัวใจเป็นเสียงเพลง และรู้จักศิลปินทุกคนตั้งแต่ บิลลี่ ฮอลลิเดย์, เดอะแคลช, จนถึงกรีนเดย์ ร้านเล็กๆ ของป้าโดเรมีเต็มไปด้วยแผ่นซีดีเพลงจากทั่วทุกมุมโลก ถ้าคุณอยากฟังอะไรใหม่ๆ ล่ะก็…บอกได้ เดี๋ยวป้าจัดให้
เลขที่ 422/6 สยามสแควร์ซอย 11

33. ทันใจไม่สิ้นเปลือง
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผู้ซื่อสัตย์ในเสื้อกั๊กสีส้มแปร๋น สามารถช่วยงานคุณได้สารพัด ตั้งแต่ส่งของ, จ่ายค่างวด, ส่งจดหมาย, ไปรับเพื่อน, นำทางแท็กซี่ที่พาคุณหลงจนคลำทางกลับบ้านไม่ถูก พวกเขาทำได้แทบทุกอย่างที่คุณต้องการ หลังจากต่อรองราคากันจนเมื่อยมือ ดีตรงไหนน่ะเหรอ…คุณไม่ต้องฝ่ารถติดเองไง

34. เครื่องแบบนักศึกษาที่หดหายไป
ช่วงเดือนกันยายนของทุกปี นักข่าวจะทำข่าวเดิมๆ เกี่ยวกับชุดนักศึกษาหญิงที่หดลงเรื่อยๆ กระโปรงสั้นกุด, เสื้อคับติ้ว นักอนุรักษ์นิยมเขาออกมาด่าปาวๆ ส่วนเราก็คงได้แค่นั่งมองตาถลน แต่จะว่าไปเวลาเห็นนักศึกษาต้องเดินหันข้างขึ้นบันได เพราะถ้าเดินขึ้นตรงๆ จะโป๊แล้วเนี่ย ก็ทำให้รู้สึกว่าเจ๊เบียบเขาก็มีเหตุผลเหมือนกันแฮะ

35. ศูนย์รวมความสบายที่เอื้อมถึง
แม่บ้าน คอร์สทำเล็บ คอร์สนวดตัว เสื้อผ้าสั่งตัดและคนขับรถ ทั้งหมดนี้คุณสามารถซื้อหาได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตอนอยู่ต่างประเทศ ชาวต่างชาติพึงสังวรณ์ : เพื่อนคุณไม่อยากได้ยินหรอกนะว่า คุณซักผ้าไม่เป็นหรือลืมวิธีขับรถเกียร์กระปุกไปแล้ว

36. โรงภาพยนตร์ที่สบายที่สุด
เดี๋ยวนี้ โรงภาพยนตร์ใหม่ๆ ในกรุงเทพฯ มีที่นั่งสุดหรูให้บริการในราคาเท่าที่นั่งธรรมดาของเมืองนอกเลย เขาจัดมาให้ทั้งเบาะกำมะหยี่ปรับเอนนอนได้ หมอน, ผ้าห่ม แถมยังมีเครื่องดื่มฟรีอีก โรงที่ดีที่สุดในตอนนี้เห็นจะเป็นโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ในศูนย์การค้าสยามพารากอน แต่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าพนักงานของโรงภาพยนตร์เอสเอฟเวิลด์ซีเนม่า ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์นั้นบริการดีกว่า

37. หนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ได้ในพริบตา
ใครๆ ก็รู้ว่า พระประแดง เป็นปอดของกรุงเทพฯ เพราะตั้งอยู่ตรงโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาพอดี เทศบาลเมืองพระประแดงจึงกำหนดพระราชบัญญัติขึ้นมาว่า ห้ามสร้างตึกสูงเกิน 3 ชั้น โครงสร้างพื้นฐานของที่นี่ จึงโดนสงวนไว้ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2490 ทางเดินฉาบปูนกับป่าชายเลนหนาทึบทั่วบริเวณ ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักปั่นจักรยานมาก คุณว่าน่าขนลุกมั้ยล่ะที่ขนาดอยู่ในป่าทึบ แสงไฟจากในเมืองและตึกระฟ้ายังตามมาหลอนได้อยู่เลย

38. ชอบอาหารสดใช่มั้ย เอาไปเลย
ตลาดสดคลองเตย ที่แสนวุ่นวาย ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่น, ภาพ, เสียง, และผู้คน รถเข็นสินค้าของสดวิ่งกันขวั่กไขว่ ซึ่งหลายอย่างเพิ่งส่งตรงมาจากไร่ สวนและทะเล เสียงพ่อค้าแม่ขายตะโกนคุยกันเอง และคุยกับลูกค้าดังโหวกเหวก นอกจากนั้นตลาดแห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์เมอร์ซี่ และที่พำนักของหลวงพ่อโจ บ้านสำหรับเด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้า บ้านพักแม่และเด็ก และโรงเรียนสอนเด็กสลัมอีกด้วย

39. วิธีฟิตกล้ามที่สร้างสรรค์ที่สุด
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
ถึงสถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้งในสวนลุมพินี (เอ็มอาร์ทีลุมพินี) จะเต็มไปด้วยอุปกรณ์เก่าสนิมเกาะ ที่ใครเห็นเป็นต้องอมยิ้ม ก็ไม่ได้ทำให้หนุ่มๆ กล้ามปูที่ตากแดดออกกำลังกายเหงื่อท่วมกระดากอายแต่อย่างใด เพราะกล้ามเนื้อในร่างกายรับรู้แค่ว่า 20 กิโลก็คือ 20 กิโล ถ้าได้ไปอย่าลืมไปทดสอบพละกำลังบนม้านั่งที่ก้อนน้ำหนักเป็นยางรถยนต์ดูซักเซ็ทนะ

40. ห้ามเดินตอน 8 โมงเช้ากับ 6 โมงเย็น
นักท่องเที่ยวทั้งหลาย ที่เพลิดเพลินจนต้องติดอยู่ข้างนอกตามเวลาดังกล่าว และรู้สึกราวกับตกเข้าไปอยู่ในมิติพิศวงที่ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว จงอย่ากลัว เขาแค่ยืนทำความเคารพเพลงชาติ ที่บรรเลงวันละ 2 ครั้งเท่านั้น ถ้าคุณอยากเดินต่อก็ไม่ผิดกฏหมายหรอก แค่จะโดนมองด้วยสายตาเพชฌฆาตจนแทบจะตายคาที่เท่านั้นเอง

41. ปูผัดผงกะหรี่ที่อร่อยที่สุดในเอเชีย
เมื่อก้าวเข้าไปใน ร้านสมบูรณ์โภชนา สาขาสุรวงศ์ คุณจะได้เห็นปูผัดผงกะหรี่วางเด่นเป็นสง่าอยู่บนทุกโต๊ะ เนื้อปูสดๆ แน่นๆ ผัดคลุกเคล้าซอสผงกะหรี่สูตรเฉพาะ ที่หอมอร่อยจนเด็กเสิร์ฟแทบไม่ต้องล้างจาน เขาลือกันว่ามีลูกค้าประจำเจ้านึง ถึงกับต้องบินมาจากสิงคโปร์เดือนละครั้ง เพื่ออาหารจานนี้โดยเฉพาะ
เลขที่ 169/7-11 ถ. สุรวงศ์ สีลม โทรศัพท์ 02-2333104 begin_of_the_skype_highlighting 02-2333104 FREE end_of_the_skype_highlighting

42. เราบูชาฟุตบอลกัน…เป็นเรื่องเป็นราว
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
บนถนนพระราม 3 ซอย 30 มีวัดแห่งนึงชื่อ วัดปริวาส ที่มีเจ้าอาวาสเป็นแฟนบอลตัวยง จนถึงกับสั่งให้ช่างเอารูปปั้นเดวิด เบคแฮม มาติดไว้ข้างๆ รูปปั้นเทวดารอบพระอุโบสถ ในช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี ค.ศ. 1998 เลยทีเดียว ถ้าท่านเอารูปปั้นวิคตอเรีย เบคแฮม ไปติดบนแท่นบูชา เมื่อไหร่เราจะรีบมาแจ้งให้ทราบเพิ่มเติม

43. พิพิธภัณฑ์สยองเกล้า
แน่ใจเหรอว่าคุณเห็นมาหมดแล้ว พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ ที่ โรงพยาบาลศิริราช นั้นเต็มไปด้วยของน่าขนลุกขนพองที่คุณอาจจะเคยได้ยิน แต่ไม่ค่อยมีใครเคยเห็นอยู่เต็มไปหมด ห้ามพลาด : ถุงอัณฑะขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 นิ้ว ของคนไข้โรคเท้าช้าง, ศพซีอุยฆาตกรกินตับเด็ก, เหยื่อโดนยิง, โดนรถชนและเหยื่อที่เสียชีวิตจากการใช้เครื่องจักร เราขอเตือนด้วยความปรารถนาดีว่าแฟนๆ ดิสนีย์แลนด์ไม่ควรมา
เลขที่ 2 ถ. พรานนก ศิริราช บางกอกน้อย โทรศัพท์ 02-419-7000 begin_of_the_skype_highlighting 02-419-7000 FREE end_of_the_skype_highlighting

44. เสื้อยืดที่เห็นแล้วต้องมองจนเหลียวหลัง
มีตั้งแต่สโลแกนเด็ดๆ, คำด่าแรงๆ ไปจนถึงคำคล้องจองที่ยิ่งอ่านยิ่งงงบนเสื้อยืดเท่ห์ๆ ทุกแบบทุกทรง หลายตัวอาจจะดูปัญญาอ่อนและไร้สาระ แต่นานๆ ทีคุณอาจจะไปเจอซักตัวที่เข้าท่า (น่าตบ) ก็ได้นะ

45. พระสงฆ์ที่ไหนทันสมัยที่สุด
หลายคนคิดว่า พระสงฆ์ คงเอาแต่สวดมนต์นั่งสมาธิทั้งวัน แต่พระเมืองไทยก้าวหน้ากว่านั้นเยอะ ถึงแม้ว่าท่านจะครองตนอยู่ในศีลในธรรม แต่คุณอาจจะได้เห็นบุรุษในผ้าเหลืองนั่งรถไฟใต้ดินเข้าเมือง เล่นไอโฟน หรือไม่ก็อัพเดทบล็อคตามร้านอินเตอร์เน็ทเหมือนกันนะ

46. ตำรวจไทยนั้นแท้จริงแล้วคือลูกเสือ
“จงเตรียมพร้อม” เป็นคติพจน์ของลูกเสือสามัญที่ใครๆ ก็ทราบ และตำรวจกรุงเทพฯ จำกันขึ้นใจ เดี๋ยวเราจะยกตัวอย่างให้ดู… ด้วยความที่เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องรถติดเป็น อันดับต้นๆ ของโลก ทำให้การนั่งอยู่ในรถติดๆ ตอน…ตอนคลอดลูกแล้วกัน กลายเป็นเรื่องเลวร้ายไม่ใช่น้อย ลูกเสือ เอ๊ย! ตำรวจในกรุงเทพฯ จึงต้องพกกรรไกรเอาไว้ตัดสายสะดือทารก และการคลอดลูกบนเบาะหลังรถนั้น เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คุณคิดอีก

47. ความเจ็บปวดที่น่าหลงใหลที่สุดในโลก
กิตติศัพท์ ของการนวดแผนไทย นั้นเลื่องลือไกลไปทั่วโลก ถึงแม้จะเจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่รับรองได้ว่าพอกลับถึงห้องคุณจะหลับเป็นตาย และตื่นมาพร้อมกับความกระฉับกระเฉง ที่ เฮล์ทแลนด์ สปาชื่อดัง มีบริการนวดหลายขนานให้คุณได้ลอง ตั้งแต่นวดเท้าไปจนถึงนวดตัวด้วยน้ำมันเป็นเวลา 2 ชั่วโมง หลังจากนวดเสร็จกล้ามเนื้อคุณจะถึงกับอึ้งทึ่งเสียวไปเลย

48. เฮ้ย! ไดโนเสาร์!!!
50 เหตุผล ความเป็นกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ
อาจจะไม่ถึงกับเหมือนในหนังเรื่องจูราสสิคพาร์ค แต่ สวนลุมพินี หรือเซ็นทรัลพาร์คของคนกรุงเทพฯ นั้นมีสัตว์เลื้อยคลานตัวเขื่อง ที่คุณเห็นแล้วอาจจะถึงกับปัสสาวะเล็ดกันเลยทีเดียว ตัวเงินตัวทองที่โตเต็มที่นั้นยาว 2.7 เมตร ปกติเจ้าถิ่นจะชอบออกมาลุยโคลนและเดินทอดน่องริมน้ำ แต่บางทีก็อาจจะมีการเดินตัดหน้าข้ามมาลงในบึงใกล้ๆ บ้างเหมือนกัน แต่ว่าไม่ต้องกลัวหรอก เพราะส่วนใหญ่ก็ยาวแค่ 3 ฟุตเอง ส่วนใหญ่นะ…

49. เปิดกว้างสำหรับคนทุกเพศ
วิถีทางเพศของชาวกรุงเทพฯ นั้นเรียกได้ว่ายืด…ได้เหมือนหนังสติ๊ก “อ๋อ มันเป็นเกย์ไปแล้ว” คือ คำตอบที่ได้ยินกันบ่อยๆ เวลาถามถึงแฟนเก่า แต่ที่น่าทึ่ง ก็คือ ไม่มีใครสนใจ คนมีชื่อเสียงในบ้านเมืองหลายคน มีทั้งที่เป็นเกย์เต็มตัว, เป็นไบแล้วก็มีทั้งแต่งหญิง จะเกย์, ไม่เกย์, จะเป็นกะเทยแอ๊บแมน หรือกะเทยแต๋วแตก คนไทยคิดว่าใครจะเป็นเพศไหนมันก็เรื่องของเขา

50. สามารถกำหนดสีให้กับ…ทุกอย่าง
สี ช่วยกำหนดและแยกแยะทุกอย่างในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ความคิด โซน จนถึงขั้วการเมือง ที่จริงมีสีประจำวันด้วยนะ วันศุกร์คนจะชอบใส่สีฟ้า วันอังคารสีชมพู วันจันทร์สีเหลือง วันดีคืนดีสีต่างๆ ก็เข้ามามีบทบาททางการเมือง พอประชาชนขัดแย้งกันมากๆ เข้า แต่ละกลุ่ม แต่ละสีก็จะนัดหมายรวมตัวมาประท้วงกัน หลังจากเกิดเหตุวุ่นวายทางการเมืองในกรุงเทพฯ ก็มีคนแซวว่า น่าจะเปลี่ยนคำทักทายจาก “ทานข้าวรึยัง” เป็น “คุณอยู่สีอะไร” ไปเลยดีกว่า