วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โรคคอตีบ

            ช่วงนี้เป็นข่าวกันหนัก สำหรับโรคคอตีบ ซึ่งได้ระบาดกันมากในภาคอีสาน ส่วนมากจะเป็นเด็กๆ แต่ผู่ใหญ่ก็สามรถเป็นกันได้นะคะ บางคนอาจจะสงสัยว่า โรคคอตีบคืออะไร เกิดจากอะไร และเป็นได้อย่างไร ??
             วันนี้เราจะมาอธิบายกันว่าโรคคอตีบเกิดจากสาเหตุใด และเป็นได้อย่างไร เราลองไปอ่านด้านล่างดูนะคะ :D


                โรคคอตีบ(Diphtheria) เป็นโรคเกิดจากทางเดินหายใจติดเชื้อแบคทีเรีย ชนิด Chorynebacterium diphtheriae ปัจจุบัน เป็นโรคพบได้น้อยในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่อง จากมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ตั้งแต่เป็นทารกอายุ 2 เดือนอย่างทั่วถึง แต่ยังเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศในเขตร้อนที่ยังไม่พัฒนา หรือ กำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย เพราะการขาดแคลนวัคซีน หรือเด็กไม่ได้รับวัคซีนเพราะคลอดเองที่บ้าน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เป็นโรคของเขตร้อน แต่ก็สามารถพบโรคเกิดได้ทั่วโลก รวมทั้งเคยมีการระบาดมาแล้วในประเทศเยอรมัน และประเทศแคนาดา
                 พบเกิดได้เท่ากันทั้งในผู้หญิง และในผู้ชาย โดยเป็นโรคพบได้ในทุกอายุ แต่มักไม่พบในเด็กอ่อนอายุต่ำกว่า 6 เดือน เนื่องจากเด็กช่วงอายุนี้ได้ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคจากแม่ ซึ่งจะหมดไปเมื่อเด็กมีอายุได้ประมาณ 6 เดือน โดยทั่วไป ในประเทศที่ยังไม่พัฒนา มักพบโรคเกิดในเด็กเล็ก แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เมื่อเกิดโรคมักพบในวัยตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เนื่องจากขาดการฉีดวัคซีนกระตุ้น ซึ่งต้องฉีดทุกๆ 10 ปี
                ปัจจุบัน ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคคอตีบ คือ คนที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่) หรือ ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนกระตุ้น การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แออัดและขาดสุขอนามัย และในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ

เชื้อคอตีบก่อโรคและติดต่อได้อย่างไร?

                    แหล่งรังโรคของเชื้อโรคคอตีบ คือ มนุษย์ โดยเชื้ออาศัยอยู่ใน โพรงจมูก โพรงหลังจมูก ในลำคอ และอาจพบที่ผิวหนังได้ นอกจากนั้น อาจพบเชื้อโรคคอตีบได้ใน ดิน และในบางแหล่งน้ำธรรมชาติ
คอตีบเป็นโรคติดต่อได้ง่าย และระบาดได้รวดเร็ว โดยติดต่อจากการใกล้ชิดคลุกคลีกับผู้ป่วย รวมทั้งการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย ละอองหายใจ และจากการไอ จาม นอกจากนั้น ยังอาจพบติดต่อผ่านทางเชื้อที่ปนในอาหาร เช่น ในนม แต่พบโอกาสติดต่อด้วยวิธีนี้ได้น้อยกว่า
เมื่อได้รับเชื้อ เชื้อจะอยู่ในบริเวณส่วนตื้นๆของเยื่อเมือกบุทางเดินหายใจ เช่น โพรงจมูก ต่อมทอนซิล ในลำคอ และในกล่องเสียง หลังจากนั้น เชื้อจะสร้างสารพิษซึ่งเป็นโปรตีนมีพิษต่อร่างกายชนิดหนึ่ง เรียกว่า Diphtheria toxin ซึ่งสารพิษนี้จะก่อให้เกิดการอักเสบของเยื่อเมือกในทางเดินหายใจ เกิดการตายของเซลล์เยื่อเมือกในทางเดินหายใจ ของเซลล์เม็ดเลือดขาว และของเม็ดเลือดแดง รวมทั้งการตายสะสมของตัวแบคทีเรียเอง ก่อให้เกิดเป็นแผ่นเยื่อหนา สีเทา-น้ำตาล ปกคลุมหนาในทางเดินหายใจ จึงก่อให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจึงมีอาการหายใจไม่ออก คล้ายมีอะไรบีบรัดในทางเดินหายใจ (เป็นที่มาของชื่อโรค คอตีบ) แผ่นเยื่อนี้พบเกิดได้ตั้งแต่ในโพรงจมูก ลงไปจนถึงในลำคอ โดยพบบ่อยที่สุดในบริเวณต่อมทอนซิล และคอหอย
นอกจากนั้น สารพิษยังอาจแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต (เลือด) และอาจก่ออาการอักเสบกับ อวัยวะ และ เนื้อเยื่อต่างๆได้ ที่พบบ่อย คือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และ/หรือ ประสาทอักเสบ ซึ่งอาจเกิดได้หลังเกิดอาการจากโรคประมาณ 2-10 สัปดาห์

โรคคอตีบมีอาการอย่างไร?

                   อาการของโรคคอตีบมักเกิดหลังได้รับเชื้อประมาณ 2-5 วัน (ระยะฟักตัวของโรค) แต่อาจนานได้ถึง 10 วัน และผู้ป่วยมักมีอาการอยู่ได้นานถึง 4-6 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านี้ ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของโรค
อาการพบบ่อยของโรคคอตีบ คือ
  • มีไข้ มักไม่เกิน 39 องศาเซลเซียส อาจรู้สึกหนาวสั่น
  • อ่อนเพลีย เจ็บคอมาก กิน/ดื่มแล้วเจ็บคอมาก จึงกิน/ดื่มได้น้อย
  • หายใจลำบาก หายใจไม่ออก หายใจเร็ว หอบ เหนื่อย
  • คออาจบวม และไอ เสียงดังเหมือนสุนัขเห่า
  • มีแผ่นเยื่อในจมูก ต่อมทอนซิล ลำคอ และกล่องเสียง ก่ออาการค่อยๆมีเสียงแหบลงเรื่อยๆ และน้ำมูกอาจมีเลือดปน
  • มีต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอ บวม โต ซึ่งโตได้ทั้งสองข้าง
  • หลังจากมีอาการทาง ทางเดินหายใจแล้ว อาจพบมีแผลบริเวณผิวหนัง พบได้ทั่วตัว แต่พบบ่อยบริเวณ แขน และขา แผลมีลักษณะเหมือนแผลทั่วไป แต่เมื่อตรวจเชื้อจะพบว่าเกิดจากเชื้อโรคคอตีบ

แพทย์วินิจฉัยโรคคอตีบได้อย่างไร?

                   แพทย์วินิจฉัยโรคคอตีบได้จาก ประวัติอาการ ประวัติสัมผัสโรค ประวัติการฉีดวัคซีน การตรวจร่างกาย การตรวจย้อมเชื้อจากการป้ายสารคัดหลั่งจากโพรงหลังจมูก หรือจากลำคอ และอาจมีการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์ เช่น ตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการเอกซเรย์ปอด

รักษาโรคคอตีบได้อย่างไร?

                   แนวทางการรักษาโรคคอตีบ มักเป็นการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลเสมอเพราะเป็นโรคที่มีอาการรุนแรง การรักษาได้แก่ การให้ยาต้านสารพิษของเชื้อ การให้ยาปฏิชีวนะ และการฉีดวัคซีนโรคคอตีบเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อโรค
นอกจากนั้น คือ การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การให้น้ำเกลือ และให้สาร อาหารทางหลอดเลือดดำ การใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งบางครั้งอาจต้องเจาะคอถ้าแผ่นเยื่อจากโรคหนามาก จนทางเดินหายใจแคบเกินกว่าจะหายใจเองได้ และการให้ออกซิเจน

โรคคอตีบรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                        ผลข้างเคียงจากโรคคอตีบเกิดจากสารพิษแพร่กระจายเข้าสู่กระแสโลหิตและก่อให้เกิดโรคต่างๆดังได้กล่าวแล้ว ซึ่งที่อาจพบได้ คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (หอบ เหนื่อย นอนราบไม่ได้ บวม) และ ประสาทอักเสบ (กล้ามเนื้ออ่อนแรง) ซึ่งถ้าเกิดกับประสาทกล้ามเนื้อหาย ใจ จะส่งผลให้หายใจเองไม่ได้
โรคคอตีบจัดเป็นโรครุนแรง เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ ทั้งนี้ความรุนแรงของโรคขึ้นกับ การได้รับยาต้านสารพิษและยาปฏิชีวนะอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วันหลังมีอาการ ซึ่งช่วยลดอัตราเสียชีวิตลงเหลือประมาณ 1% แต่ถ้ามาพบแพทย์ล่าช้า หรือเมื่อผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 5 ปี หรืออายุสูงตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรือเกิดผลข้างเคียงแล้ว อัตราเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20%

ดูแลอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

                      การดูแลตนเอง หรือ การดูแลเด็ก คือ การรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการดังกล่าว นอกจาก นั้น ดังกล่าวแล้วว่า คอตีบเป็นโรคติดต่อได้ง่าย รวดเร็ว และรุนแรง ดังนั้นผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย รวม ทั้งผู้ดูแลผู้ป่วย ควรพบแพทย์เสมอ เพื่อขอรับคำแนะนำ อาจต้องตรวจเชื้อจากโพรงหลังจมูก และอาจจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ หรือ ฉีดกระตุ้น (ในคนเคยได้วัคซีนมาก่อนแล้ว) รวมทั้งการได้รับยาปฏิชีวนะเมื่อตรวจพบเชื้อทั้งๆที่ยังไม่มีอาการ ทั้งนี้ขึ้นกับคำ แนะนำของแพทย์

ป้องกันโรคคอตีบอย่างไร?

                    การป้องกันโรคคอตีบที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ การฉีดวัคซีน ซึ่งเริ่มฉีดเมื่ออายุ 2 เดือน โดยอยู่ในรูปแบบของวัคซีนรวม โรคคอตีบ โรคบาดทะยัก และโรคไอกรน (DTP vaccine/ วัคซีน ดีพีที:Diphtheria, Tetanus และ Pertussis) ฉีดทั้งหมด 5 เข็ม เป็นระยะๆจาก อายุ 2 เดือน จนถึงอายุ 6 ปี ตามแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของกระทรวงสาธารณสุขของเรา พ.ศ. 2548 โดยเข็มแรกฉีดที่อายุ 2 เดือน เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน เข็มที่ 4 อายุ 18 เดือน และเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปี ต่อจากนั้นฉีดกระตุ้นเมื่ออายุ 12-16 ปี เฉพาะวัคซีนคอตีบและบาดทะยัก (วัคซีน ดีที/DT) ไม่ต้องฉีดวัคซีนไอกรนเพราะเป็นโรคมักพบเฉพาะในเด็ก และต่อไปฉีดกระตุ้นทุกๆ 10 ปี เฉพาะวัคซีน ดีที
นอกจากนั้น คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ซึ่งที่สำคัญคือ

บรรณานุกรม

  1. วัคซีน. โรงพยาบาลเด็ก http://www.childrenhospital.go.th/main/ph/PEOPLE/VACCINE/MAIN.HTM#03
  2. Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  3. Diphtheria http://en.wikipedia.org/wiki/Diphtheria [2012, Jan 20].
  4. Diphtheria http://emedicine.medscape.com/article/963334-overview#showall [2012, Jan 20].

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น